วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง



พอดีได้ไปอ่านเจอบางบทความเข้าค่ะ เลยเกิดอาการจิตตกเล็กน้อย ( นิดเดียวจริง ๆ ค่ะ ) เลยอยากจะเขียนถึงความรู้สึกบางอย่างให้เพื่อนฟัง


ความตั้งใจแรกที่อยากจะเขียนเล่าเรื่องราวผ่านบล็อก สืบเนื่องมาจากการตามอ่านเรื่องราวผ่านไดฯ ของเพื่อนๆหลายๆ คนในเวปเลสล่า

อ่านมานานร่วมปีจนรู้สึกเหมือนสนิทกัน ( คิดเอาเอง ) สนิทอยู่ฝ่ายเดียวแบบที่ไม่มีใครรู้จักเรา 555
มาวันนึงรู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมเด๋วนี้ขี้ลืมบ่อยเกิ๊น ( เริ่มแก่ไงค๊า ) เลยเกรงว่าสักวันนึงเรื่องราวดีดี บางเหตุการณ์ในชีวิต จะต้องเลือนไปตามสังขารเป็นแน่แท้ ไม่อยากให้ความตั้งใจของคนที่หวังดีและรักเรา ต้องสูญหายไปพร้อมกาลเวลา

บางครั้งอดีต มันดูมีค่าตรงที่เวลาเรานึกย้อนกลับไป แล้วยังจำความรู้สึกและรายละเอียดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

คิดได้ดังนั้น เลยอยากเขียนเรื่องราวของตัวเองเก็บไว้บ้าง โดยเริ่มจากวันเกิดที่ผ่านมา


หลายๆ เรื่องที่เขียน แค่อยาก "แบ่งปัน" ให้เพื่อน ๆได้รับรู้
เหมือนเวลาเราเจอเรื่องอะไรมา เราก็อยากเล่าให้เพื่อนฟัง รู้สึกเหมือนคนในบล็อกนี้ก็คือเพื่อน แม้อาจจะไม่เคยเจอกัน แต่ก็เชื่อในมิตรภาพออนไลน์ค่ะ เคยมีโอกาสได้เพื่อนจากเวปอยู่หลายคน ตั้งแต่สมัยเวป อัญจารี เลยนะคะ ( รู้จักกันมั้ยอ่ะ )
เวปเลสล่าเองนี่ก็หลายคนอยู่ แล้วก็โชคดีที่ทุกคนที่ได้รู้จัก เป็นเพื่อนที่ดีค่ะ จริงใจ จนทุกวันนี้ก็ยังมีที่ติดต่อกันอยู่


ทุกครั้งที่เขียนแล้วมีคนแสดงความคิดเห็น ดีใจมากมายค่ะ เหมือนเราเล่าอะไรให้เพื่อนฟัง แล้วเพื่อนมีfeedback กลับมา
ทุกครั้งก่อนเขียนเรื่องใหม่ จะต้องย้อนกลับไปตอบแทบทุกความคิดเห็นเท่าที่เป็นไปได้ค่ะ ( แม้ว่าเพื่อนอาจจะเม้นท์แบบไม่ต้องการคำตอบก็ตาม )


ขออนุญาตออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาจะอวด ( เพราะไม่มีอะไรให้อวด ) หรืออ้างว่าอยู่เมืองนอกแต่อย่างใดเลย ประโยคที่ว่า "ใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย" ยังใช้ได้จนทุกวันนี้ค่ะ

ยังมีชีวิตที่ ต้องสู้ ดิ้นรน กันอยู่ในทุก ๆวัน คนไทยหลาย ๆคนที่นี่ แค่มีโอกาสให้ได้ตัดสินใจเปลี่ยนการดำรงชีวิตแบบเดิม ๆ มาสู่ที่ใหม่ ๆ เท่านั้นเอง ไว้มีโอกาสก็อยากจะเขียนถึงที่มาที่ไปของเราเอง ที่ทำให้ได้มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองในวันนี้ ( จะได้เก็บไว้อ่านเองตอนแก่ )


ชีวิตที่นี่ถือเป็นกำไรก็ว่าได้ หากเราคิดบวก จะว่าเลวร้ายก็ไม่ถึงขนาดน๊าน แค่ความไม่คุ้นเคย ( ก็มันไม่ใช่บ้านเรา ) ประสบการณ์ที่นี่ยังมีอีกมากมายค่ะ ไว้จะทยอยเขียนเรื่อย ๆ ( เคยถามมั้ยว่าใครอยากรู้ )


กิจกรรมที่จะได้มาซึ่งความสุข สนุกสนาน หาได้น้อยเหลือเกินค่ะจากที่นี่ ( อันนี้เป็นความรู้สึกของเราและเพื่อนพ้องใกล้ตัวเท่านั้นนะคะ )
ไม่มีที่ไหนวาไรตี้ด้านเอนเตอร์เทรนเท่าเมืองไทยอีกแล้วค่ะ สถานที่ให้ความบันเทิงเริงใจมีอยู่ทุกมุมเมือง
ห้างที่นี่ ปกติ 5-6โมงเย็นก็เงียบเชียบ ปิดกันหมด ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่เป็นวันเงินออก เปิดถึงสามทุ่ม
กิจกรรมของพวกหัวทองมีแค่ ไปผับ อาบแดดตามbeach ไปบาร์บีคิวตาม park
ไม่มีสะพานพุทธ สวนลุมไนท์ฯ จตุจักร ตลาดเปิดท้าย ให้เดินชิล ๆ
ฝรั่งถึงได้ชอบไปเที่ยวเมืองไทย


ทางออกจากการทำงานหนัก ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทาง ไม่กิน ก็เที่ยว แล้วก็ซื้อดีวีดีไทยมาดูแก้เซ็ง จะได้คุยกะเพื่อนที่เมืองไทยรู้เรื่อง
( มาอยู่ที่นี่ ได้ดูรายการทีวีไทยเยอะกว่าอยู่เมืองไทยอีกหน่ะ เพราะอยู่เมืองไทยมีกิจกรรมอื่นน่าสนใจกว่าดูทีวี )


คนไทยหลายคนที่นี่ เลือกที่จะมาทำงานเพื่อเก็บเงิน เก็บ ๆๆๆๆ ไม่ค่อยใช้ ไม่ค่อยเที่ยว ไม่ค่อยกิน
คู่เราเคยพยายามทำกันอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะควบคุมการเงิน กินนอกบ้านให้น้อยลง เที่ยวให้น้อยลง เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ จะได้กลับบ้านกัน แต่ life style แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ทำได้อยู่แค่แป๊บเดียวจริง ๆ
พอทำงานเหนื่อย เราก็อยากจะกินอะไรดีดี อร่อย ๆ หรือได้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ให้มีแรงกลับมาสู้งานต่อ แล้วด้วยความที่ตัวเองเป็นคนหลายอารมณ์ บางวันก็คิดอยากจะมุ่งมั่นเก็บตังค์แล้วกลับไปหาอะไรทำเล็ก ๆ เป็นของเราเอง เพราะด้วยวัยขนาดนี้กันแล้ว ไปเดินสมัครงานคงไม่มีใครรับแล้วล่ะ เด็กจบใหม่ไฟแรงเกลื่อนเมือง


แต่บางวันมันก็คิดแค่ว่า ชีวิตก็แค่นี้ จะดิ้นรนอะไรกันนักหนา จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาแค่วันนี้มีความสุข ได้อยู่กับคนที่รัก มีข้าวกิน มีเงินพอใช้จ่ายนู้นนี่ มีตังค์หาหมอ ชีวิตก็ยังสุขสบายดี


ชีวิตก็เลยวนไปวนมา ออกแนว กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ซะอย่างงั้น




ขอบคุณเพื่อน ๆที่ติดตามและรับฟังค่ะ

แอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะได้รับมิตรภาพที่ดีดี ผ่านบล็อกนี้ เหมือนอย่างที่ผ่านมา

Friday 20 Feb 2009

12 ความคิดเห็น:

  1. มิตรภาพดีๆไม่ใช่แค่ยิ้ม และชื่นชมเมื่ออยุ่ต่อหน้า

    แต่หมายถึงการไม่พูดนินทาหรือว่ากล่าวให้เสียหายลับหลังด้วย

    จริงไม๊ค่ะ



    .
    .

    เพราะฉะนั้นมิตรภาพมีอยู่ในทุกคน เพียงแต่ว่าคุณอยากจะได้จากใครเท่านั้นเอง

    ขอให้ความรัก ความอบอุ่น ยังอยู่ในไดอารี่คุณตลอดไป

    ^^

    ตอบลบ
  2. แกอย่าคิดไรเลย เราเองก็อยากสัมผัสชีวิตเมืองนอกเหมือนกัน
    แกโชคดีแล้วแหล่ะ

    เอาเป็นว่าเขียนเรื่องที่แกเจอ ที่เที่ยวไรเงี่ยให้อ่านบ้าง
    เป็นวิทยาทานสำหรับคนไม่ได้ไป อย่างเรา แหะๆๆ
    นานาจิตตังเว้ย

    ตอบลบ
  3. ใช่เลยพี่ต้าร์ .....

    "ชีวิตก็แค่นี้ จะดิ้นรนอะไรกันนักหนา จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาแค่วันนี้มีความสุข ได้อยู่กับคนที่รัก มีข้าวกิน มีเงินพอใช้จ่ายนู้นนี่ มีตังค์หาหมอ ชีวิตก็ยังสุขสบายดี"

    เห็นด้วยจ้า

    Take care ค่ะ...

    ตอบลบ
  4. ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณต้าร์...มิตรภาพเกิดขึ้นเสมอสำหรับคนที่ต้องการมิตรภาพ...ว่ามั๊ยคะ...สำหรับตัวเองรู้สึกเห็นใจคนอยู่เมืองนอก เพราะไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนเรา วิถีชีวิตคงลำบากไม่ใช่น้อยต่อให้มีตังค์ก้อเหอะ..อาวเป็นว่าเป็นห่วงทุกคน เหมือนที่ห่วงเพื่อนคนที่ตัวเองรู้จักค่ะ..ไงก้อดูแลตัวเองด้วยค่ะ...

    ตอบลบ
  5. แนวความคิดในการดำเนินชีวิตสับสนคล้ายกันค่ะ บางทีทำงานเหนือยๆ ก็อยากกิน เที่ยว ใช้ให้สมกะที่เหนื่อยมา....บางทีก็รู้สึกว่าจะทำงานเหนื่อยไปทำไม เอาแค่พอมีกินมีใช้ดีกว่ามั้ย....ฉับฉนค่ะ

    ส่วนตัวแล้ว ที่เขียนบล็อก ก็เพื่อบันทึกเรื่องราวดีๆ ระหว่างเราสองคนเท่านั้นเอง....บางเรื่องเขียนดีเทลเยอะ เพราะคิดว่าเผื่อเป็นข้อมูลให้คนอื่นได้บ้าง เหมือนที่เราเองก็ได้ข้อมูลดีๆ จากบล็อกคนอื่นมาตลอดค่ะ

    ดีใจที่ได้รับมิตรภาพดีๆ นะคะ ^^

    ตอบลบ
  6. เขียนบล็อก อ่านบล็อก ก็ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันค่ะ ... ขอบคุณนะคะที่เล่าเรื่องราวจากต่างแดนให้ได้รู้

    ตอบลบ
  7. แวะมาส่งกำลังใจให้ (อิอิ)
    พี่ต้าร์อย่าคิดมากเลยคับ
    โลกออนไลน์มีทั้งคนที่หวังดีและไม่หวังดีกับเรา
    แต่มิตรภาพดีๆ ก้อยังมีหลงเหลืออยู่บ้างนะคับ
    ---------------------
    อยากจะบอกพี่ต้าร์ว่ารู้สึกแบบเดียวกันเลยอ่ะ
    เมื่อก่อนผมก้อเคยคิดเหมือนพี่ต้าร์นะ
    คือคิดแค่ว่าจะมาทำงานแล้วก้อเก็บเงิน
    จะให้ทำอะไรเหนื่อยแค่ไหนก้อเอา
    เพื่อเงินๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แต่ผมก้อทำอยู่ได้แค่ปีเดียวนะ
    จนเห็นเพื่อนๆ เค้าไปเที่ยวนู่นนี่กัน
    แล้วเราไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนเลย
    มาอยู่จะสองปีแล้ว ยังไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่
    ก้ออย่างที่พี่บอก ว่าชีวิตเราจะตายเมื่อไหร่ก้อไม่รู้
    ทำไมไม่ทำให้ทุกๆ วัน เป็นวันที่มีความสุขที่สุดสำหรับเรา
    พักหลังๆ ผมเลยทำงานน้อยลง
    จากวันละสองชิป ก้อเหลือแค่งานกลางวันที่เดียว
    เย็นๆ ผมเลยมีเวลาว่างให้ไปเที่ยวไหนๆ ได้บ้าง
    รู้สึกชีวิตมันมีความสุขขึ้นเยอะเลยคับ

    ตอบลบ
  8. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  9. ในที่สุดก็เม้นท์ได้ซะที หลังจากเพียรพยายามอยู่นาน..นนนน มาก
    แต่เข้ามาอ่านทุกวัน อัพเดทข่าวคราว ความเคลื่อนไหว...ของเพื่อน
    สู้สู้...เป็นกำลังใจให้ตลอดเลยนะ

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณ ทุก ๆ ความคิดเห็น
    ขอบคุณ ทุก ๆ มิตรภาพ และ
    ขอบคุณ ทุก ๆ กำลังใจ

    We'll keep going
    ขอบคุณค่ะ ^ ^

    ตอบลบ
  11. 555 อันนี้น้องเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ของน้องอาจจะรุนแรงนิดนึง แบบว่า...เหนื่อย ไม่มีความสุข และไม่สามารถขจัดทุกข์ออกไปไหนได้ เพราะทุกข์นั้น...ไม่ใกล้ไม่ไกลมีนามว่า "ก้นดำ" ^^

    อุ๊พยายามคิดแล้วคิดอีกเรื่องเก็บเงิน แต่ทำไม่ได้สักที พอเดินผ่านที่ขายอาหารทีไร ก้อจะรู้สึกอยากกินขึ้นมาทันที...แล้วก้อจะคิดเหมือนที่พี่คิดเลยว่า ชีวิตคนเราก้อเท่านี้ .. แต่ของน้องขอเพิ่ม ไม่มีหนี้ ไม่มีสิว และไม่มีลูกจะเป็นลาภอันประเสิรฐมากกกก (ซึ่งไม่มีอันไหนทำได้เลยคร้า อิ อิ)

    เอาน่าพี่...Life is life, fight for it... อยู่ด้วยกันไปก่อนน้า เพราะพี่กับพี่อ้อเป็นเพื่อนที่อุ๊มีอยู่ในซิดนีย์ (โชคดีที่มีเพื่อนแค่สองคนแต่ได้เจอแต่คนดี ๆ ^^) เป็นกำลังใจให้กันและกันไปแบบนี้นาน ๆ เน๊าะ

    รักนะ (แต่ไม่แสดงออกว่าเป็นสิว...)

    อุ๊เองคร้า^^

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ6 มีนาคม 2552 เวลา 11:43

    เฮ้อ..เพื่อนเลิฟ อย่าคิดไรมากเลย คิดซ่ะว่า ทำไรแล้วมีความสุขก็ทำไป การมีเงินอาจทำให้เรามีความสุขได้นะ แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง แค่มีข้าวกิน มีคนที่รักเราและเราก็รักเค้าอยู่ใกล้ๆกัน มีเงินซื้อของที่อยากได้ มีเงินเที่ยว มีเงินหาหมอ และมีเงินเก็บบ้างนิดหน่อย ก็พอแล้ว หามาได้ก็ใช้ ทำให้ชีวิตเรามีความสุขมีสีสัน ชีวิตเราไม่รู้จาสั้นจายาว ยังมีลมหายใจอยู่ก็ทำในสิ่งที่อยากทำดีกว่า กิน เที่ยว ช๊อป 555 มีความสุขจาตาย จิงป่ะ หุหุ


    ปล. อย่าจิตตกบ่อยนะคุงเพื่อน เป็นห่วงนะ ไงก็สู้ๆนะ เป็นกำลังใจให้เพื่อนเสมอ สู้ๆๆๆ สู้โว้ยยยยยยยยยยยยย *-*

    ตอบลบ