วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เล่าสู่กันฟัง



พอดีได้ไปอ่านเจอบางบทความเข้าค่ะ เลยเกิดอาการจิตตกเล็กน้อย ( นิดเดียวจริง ๆ ค่ะ ) เลยอยากจะเขียนถึงความรู้สึกบางอย่างให้เพื่อนฟัง


ความตั้งใจแรกที่อยากจะเขียนเล่าเรื่องราวผ่านบล็อก สืบเนื่องมาจากการตามอ่านเรื่องราวผ่านไดฯ ของเพื่อนๆหลายๆ คนในเวปเลสล่า

อ่านมานานร่วมปีจนรู้สึกเหมือนสนิทกัน ( คิดเอาเอง ) สนิทอยู่ฝ่ายเดียวแบบที่ไม่มีใครรู้จักเรา 555
มาวันนึงรู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมเด๋วนี้ขี้ลืมบ่อยเกิ๊น ( เริ่มแก่ไงค๊า ) เลยเกรงว่าสักวันนึงเรื่องราวดีดี บางเหตุการณ์ในชีวิต จะต้องเลือนไปตามสังขารเป็นแน่แท้ ไม่อยากให้ความตั้งใจของคนที่หวังดีและรักเรา ต้องสูญหายไปพร้อมกาลเวลา

บางครั้งอดีต มันดูมีค่าตรงที่เวลาเรานึกย้อนกลับไป แล้วยังจำความรู้สึกและรายละเอียดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

คิดได้ดังนั้น เลยอยากเขียนเรื่องราวของตัวเองเก็บไว้บ้าง โดยเริ่มจากวันเกิดที่ผ่านมา


หลายๆ เรื่องที่เขียน แค่อยาก "แบ่งปัน" ให้เพื่อน ๆได้รับรู้
เหมือนเวลาเราเจอเรื่องอะไรมา เราก็อยากเล่าให้เพื่อนฟัง รู้สึกเหมือนคนในบล็อกนี้ก็คือเพื่อน แม้อาจจะไม่เคยเจอกัน แต่ก็เชื่อในมิตรภาพออนไลน์ค่ะ เคยมีโอกาสได้เพื่อนจากเวปอยู่หลายคน ตั้งแต่สมัยเวป อัญจารี เลยนะคะ ( รู้จักกันมั้ยอ่ะ )
เวปเลสล่าเองนี่ก็หลายคนอยู่ แล้วก็โชคดีที่ทุกคนที่ได้รู้จัก เป็นเพื่อนที่ดีค่ะ จริงใจ จนทุกวันนี้ก็ยังมีที่ติดต่อกันอยู่


ทุกครั้งที่เขียนแล้วมีคนแสดงความคิดเห็น ดีใจมากมายค่ะ เหมือนเราเล่าอะไรให้เพื่อนฟัง แล้วเพื่อนมีfeedback กลับมา
ทุกครั้งก่อนเขียนเรื่องใหม่ จะต้องย้อนกลับไปตอบแทบทุกความคิดเห็นเท่าที่เป็นไปได้ค่ะ ( แม้ว่าเพื่อนอาจจะเม้นท์แบบไม่ต้องการคำตอบก็ตาม )


ขออนุญาตออกตัวว่าไม่ได้มีเจตนาจะอวด ( เพราะไม่มีอะไรให้อวด ) หรืออ้างว่าอยู่เมืองนอกแต่อย่างใดเลย ประโยคที่ว่า "ใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย" ยังใช้ได้จนทุกวันนี้ค่ะ

ยังมีชีวิตที่ ต้องสู้ ดิ้นรน กันอยู่ในทุก ๆวัน คนไทยหลาย ๆคนที่นี่ แค่มีโอกาสให้ได้ตัดสินใจเปลี่ยนการดำรงชีวิตแบบเดิม ๆ มาสู่ที่ใหม่ ๆ เท่านั้นเอง ไว้มีโอกาสก็อยากจะเขียนถึงที่มาที่ไปของเราเอง ที่ทำให้ได้มาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองในวันนี้ ( จะได้เก็บไว้อ่านเองตอนแก่ )


ชีวิตที่นี่ถือเป็นกำไรก็ว่าได้ หากเราคิดบวก จะว่าเลวร้ายก็ไม่ถึงขนาดน๊าน แค่ความไม่คุ้นเคย ( ก็มันไม่ใช่บ้านเรา ) ประสบการณ์ที่นี่ยังมีอีกมากมายค่ะ ไว้จะทยอยเขียนเรื่อย ๆ ( เคยถามมั้ยว่าใครอยากรู้ )


กิจกรรมที่จะได้มาซึ่งความสุข สนุกสนาน หาได้น้อยเหลือเกินค่ะจากที่นี่ ( อันนี้เป็นความรู้สึกของเราและเพื่อนพ้องใกล้ตัวเท่านั้นนะคะ )
ไม่มีที่ไหนวาไรตี้ด้านเอนเตอร์เทรนเท่าเมืองไทยอีกแล้วค่ะ สถานที่ให้ความบันเทิงเริงใจมีอยู่ทุกมุมเมือง
ห้างที่นี่ ปกติ 5-6โมงเย็นก็เงียบเชียบ ปิดกันหมด ยกเว้นวันพฤหัสบดีที่เป็นวันเงินออก เปิดถึงสามทุ่ม
กิจกรรมของพวกหัวทองมีแค่ ไปผับ อาบแดดตามbeach ไปบาร์บีคิวตาม park
ไม่มีสะพานพุทธ สวนลุมไนท์ฯ จตุจักร ตลาดเปิดท้าย ให้เดินชิล ๆ
ฝรั่งถึงได้ชอบไปเที่ยวเมืองไทย


ทางออกจากการทำงานหนัก ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ทาง ไม่กิน ก็เที่ยว แล้วก็ซื้อดีวีดีไทยมาดูแก้เซ็ง จะได้คุยกะเพื่อนที่เมืองไทยรู้เรื่อง
( มาอยู่ที่นี่ ได้ดูรายการทีวีไทยเยอะกว่าอยู่เมืองไทยอีกหน่ะ เพราะอยู่เมืองไทยมีกิจกรรมอื่นน่าสนใจกว่าดูทีวี )


คนไทยหลายคนที่นี่ เลือกที่จะมาทำงานเพื่อเก็บเงิน เก็บ ๆๆๆๆ ไม่ค่อยใช้ ไม่ค่อยเที่ยว ไม่ค่อยกิน
คู่เราเคยพยายามทำกันอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ ตกลงกันไว้ดิบดีว่าจะควบคุมการเงิน กินนอกบ้านให้น้อยลง เที่ยวให้น้อยลง เก็บเงินให้ได้เยอะ ๆ จะได้กลับบ้านกัน แต่ life style แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ ทำได้อยู่แค่แป๊บเดียวจริง ๆ
พอทำงานเหนื่อย เราก็อยากจะกินอะไรดีดี อร่อย ๆ หรือได้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ให้มีแรงกลับมาสู้งานต่อ แล้วด้วยความที่ตัวเองเป็นคนหลายอารมณ์ บางวันก็คิดอยากจะมุ่งมั่นเก็บตังค์แล้วกลับไปหาอะไรทำเล็ก ๆ เป็นของเราเอง เพราะด้วยวัยขนาดนี้กันแล้ว ไปเดินสมัครงานคงไม่มีใครรับแล้วล่ะ เด็กจบใหม่ไฟแรงเกลื่อนเมือง


แต่บางวันมันก็คิดแค่ว่า ชีวิตก็แค่นี้ จะดิ้นรนอะไรกันนักหนา จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เอาแค่วันนี้มีความสุข ได้อยู่กับคนที่รัก มีข้าวกิน มีเงินพอใช้จ่ายนู้นนี่ มีตังค์หาหมอ ชีวิตก็ยังสุขสบายดี


ชีวิตก็เลยวนไปวนมา ออกแนว กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง ซะอย่างงั้น




ขอบคุณเพื่อน ๆที่ติดตามและรับฟังค่ะ

แอบหวังเล็ก ๆ ว่าจะได้รับมิตรภาพที่ดีดี ผ่านบล็อกนี้ เหมือนอย่างที่ผ่านมา

Friday 20 Feb 2009

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ย้ามมี่






มาว่ากันถึงเรื่อง พัฒนาการด้านมืด ของก้นดำกันต่อค่ะ




2-3 อาทิตย์ก่อน แม่อุ๊กะป๊ะป๋าก้นดำ มีธุระค่ะ เลยพาก้นดำมาฝากไว้กะป้า ๆ
ซึ่งป้าอ้อก็รีบตอบรับด้วยความยินดี เนื่องจากเป็นคนรักเด็ก และชอบเล่นกะเด็ก
( นี่ถ้าไม่ติดเรื่องความสูง คงได้ตำแหน่งนางสาวไทยไปแร่ะ )




ป้าอ้อสามารถเล่น กะก้นดำได้เป็นเวลานาน ๆ ขยันหาเกมส์ หาของเล่นใหม่ๆ มาหลอกล่อ she อยู่เสมอ ก้นดำก็ติดป้าอ้อ ชวนเล่นเป็นวัยเดียวกันเลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำไรผิด she จะหันขวับ
มามองหน้าป้าต้าก่อนเป็นคนแรก ( she ไม่กลัวแม่ ไม่กลัวป๋า แต่กลัวอิป้าต้านี่คนเดียวเลย )
ถ้าป้าต้าไม่ดุ แสดงว่าหนูจะซนต่อได้ แต่ถ้ามีเสียงดุมาปุ๊บ ตวัดตัวและก้นดำ ๆ ไปหลบหลังแม่หรือป้าอ้อ ทันที แล้วก็ค่อยๆ โผล่หน้ามายิ้มให้ป้าต้าอีกที หนีความผิด










ป้าก็กลัวว่า ให้อยู่แต่ในห้อง เด๋วกีต้าร์จะเบื่อ เลยพานั่งรถเมล์ไปเที่ยว Bronte Beach กัน
ระหว่างอยู่บนรถ ป้าต้าก็หยิบผลไม้ออกมาให้หนูหนึ่งลูก กีต้าร์หยิบไปกัด แล้วก็หันมาหาป้าต้า
พร้อมกับพูดว่า " แอ๊ปเพิ้ล .... ย้ามมี่ " ( apple yummy )





โอ้วก้นดำ พูดyummy ได้แร้วด้วย ที่โรงเรียนเค้าสอนมาเหรอลูก แต่นี่มันไม่ใช่แอปเปิ้ลนะหนู
นี่มัน แน็คทารีน กีต้าร์มองหน้า " กีต้าร์พูดสิ แน็ค - ทา - รีน "
ก้นดำหันกลับไปกัดกร้วม ๆ ต่ออย่างไม่สนใจป้าอีก
ผลไม้อะไรก็ตามที่เป็นลูกกลม ๆ มีสีแดง ในความคิดของหนูมันคือ แอ๊ปเพิ้ล ( สำเนียงออสซี่สุด ๆ )










ลงรถ กีต้าร์สนุกสนานกับสนามเด็กเล่นสุด ๆ วิ่งปรู๊ดไปเล่นชิงช้า อุโมงค์
ขณะที่กำลังปีนบันไดไปสไลเดอร์ กีต้าร์หันมามองหน้าแล้วพูดว่า " จี่ จี่ "
แต่.... ไม่ทันแร่ะ พูดจบปุ๊บ ไหลบ่ามารวมกันอยู่ในรองเท้าทั้งสองข้างเรียบร้อย
( ไม่ได้ใส่แพมเพริส เพราะที่จริงก้นดำสามารถบอกได้แล้วว่าปวดฉี่ และอั้นได้จน
ถึงห้องน้ำ ) แต่วันนี้ she คงตื่นเต้นจัด ได้มาเล่น มีเด็กเยอะแยะ จนลืมเผื่อเวลาอั้น




พาก้นดำไปนั่งรถไฟรางของเด็ก โดยที่ป้าต้าเข้าไปนั่งกะหนูด้วย ระหว่างที่รถไฟวิ่งไป
ป้าก็บอกก้นดำ กีต้าร์ ได้ยินเสียงรถไฟป่าว รถไฟร้องยังไงลูก ร้อง ปู๊น. . . ปู๊น
ก้นดำ : ปุ้น.... ปุ้น ( น้ำเสียงกีต้าร์เหมือนบิ้วเสียงออกมาตั้งแต่กระบังลม กว่าจะหลุดออกมาสักปุ้น เร้าใจมั่ก ๆ )





ตอนนี้ก้นดำได้ศัพท์เพิ่มมาอีกหลายคำจากที่โรงเรียน แม่อุ๊จะพาก้นดำไปทิ้ง เอ้ย ไปส่ง
ที่เดย์แคร์ทุกวันจันทร์และอังคาร ก้นดำมีเพื่อนสนิท 1 คนถ้วน เป็นเด็กฝรั่งชื่อว่า ลิลลี่




อุ๊เล่าว่า ลิลลี่จะต้องวิ่งมาต้อนรับก้นดำทุกครั้งที่ลงจากรถ แล้วก็เรียก "จี๊ตาร์ จี๊ตาร์"




ลิลลี่ : " This is your mom "




ก้นดำ : ยิลยี่ ยิลยี่ ~?#*+%$#?฿ . . .



ไม่รู้ลิลลี่จะเข้าใจก้นดำหรือเปล่า ว่า she พูดอะไร




เด็กในคลาสก้นดำส่วนใหญ่จะวัยใกล้เคียงกัน ก้นดำเป็นเด็กหัวดำคนเดียวในห้อง


ที่จริงมีเด็กจีนอีกคน แต่มาคนละวันกะก้นดำ
ไม่มีเด็กคนไหนเก่งเท่าก้นดำสักคน เพราะคนอื่นเค้าเก่งนำหน้ากันไปหมดแว้ววว ภูมิจายยย





ว่าแล้วก็รวบรวมคำศัพท์อัพเดทสำหรับต้นปีนี้ของหนูกันสักหน่อย


ซิ - ลาว = sit down


ซิ - ยะ = see ya


ย้าม - มี่ = yummy


ถี ถี = ถือ ถือ


ช้อป = ชอบ ( ต้องทำเสียงสูงด้วย )


ชีมม = ชิม ( มักจะพูดพร้อมกับจกของกินเข้าปากอย่างรวดเร็ว )



และอีกหลาย ๆ คำที่ส่วนใหญ่จะเป็นคำพยางค์เดียว
ล่าสุด ก้นดำยังคงออกเสียงให้ป้า ๆรู้สึกสับสนระหว่าง



อุ๊ = ชื่อแม่ กับ อุ๊ = อึ







อาทิตย์ที่แล้ว แม่อุ๊ถามว่า พี่อ้อสอนให้กีต้าร์นับนิ้วเหรอ



ต้า : อ๋อ ไม่ใช่พี่อ้อหรอก พี่สอนเองแหล่ะ ทำไมรึ


อุ๊ : กีต้าร์พูดได้แล้วนะ อยู่ดีดี ก็นั่งกางนิ้วพูด โป้ง ชี้ กลาง นาง ก้อย


ต้า : เหรอ แต่เอ๊ะ พี่สอนไปนานมากแล้วนะ โถ ทำไมสมองดีเลย์งี้ล่ะก้นดำ
แต่ไม่เป็นไร มาช้ายังดีกว่าไม่มา



ไหนกีต้าร์ลองพูดให้ป้าต้าฟังสิ นี่นิ้วอะไร ( ว่าแล้วก็ชูนิ้วโป้งขึ้นมาก่อน แล้วก็ไล่ไปเรื่อย ๆ )
ก้นดำก็ชูตาม ปากก็ว่า โป้ง . . ชี้ . . กาง . . ( หยุดคิดนิดนึง จนต้องช่วยใบ้ให้ ) นัง . . โก้ย
โห เก่ง ๆ แล้วป้าอ้อก็ลองมั่ง



ไหนกีต้าร์ลองพูดให้ป้าอ้อฟังสิ นี่นิ้วอะไร ( ว่าแล้วก็เริ่มชูนิ้วก้อยขึ้นมาก่อน )
ก้นดำ : นิ่ง..... นานนนน พอเอาก้อยขึ้นก่อนปุ๊บ ไปต่อไม่เป็นเลยค๊า





หลายวันก่อนกีต้าร์มาหา ในขณะที่ป้าต้านั่งอ่านบล็อกอยู่ she เดินมาหน้าจอ แล้วถามว่า
" คาย คาย " ( ใคร ใคร )



ป้าต้า : คนนี้เหรอ คนนี้ชื่อ วดี กีต้าร์เรียกสิ วะ - ดี


ก้นดำ : ว้า - ลี




วันนี้
ป้าต้า : กีต้าร์ มาหัดออกเสียงชื่อเพื่อนๆ ป้าต้ากันดีกว่ามา


เต่านา พูดสิ เต่า - นา



ก้นดำ : ต่าว ต่าว



ป้าต้า : อีกอันนึง ตั๊ก สิลูก ตั๊ก



ก้นดำ : ปั๊ก T T'



ป้าต้า : ไม่ช่ายยย ต เต่าลูก เอาใหม่ ตั๊ก



ก้นดำ : ตั๊ก



ป้าต้า : โหย เก่ง ๆ



ป้าต้า : อีกอันนึง กี้ สิลูก กี้



ก้นดำ : ข.. ( ไม่อาจบรรยายได้ เด๋วอิป้าโดนฟ้อง ป้า ๆที่อ่านอยู่กรุณาคิดเอาเองนะค๊า ว่าหนูพูดว่าอะไร )



ป้าต้า : เจอรี่ สิลูก เจอ - รี่



ก้นดำ : โน้วววว .. ( No ) สมาธิสิ้นสุดลง พร้อมกับวิ่งปรู๊ดไปหาอย่างอื่นเล่นแทน





เด๋วนี้ก้นดำเริ่มจะมีแววแฟชั่น มีการเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่เอง เลือกเสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า
วันไหนที่ก้นดำมาหาที่บ้าน เปิดประตูมาปุ๊บ โอ้ววว โห ( แม่อุ๊จะรีบออกตัวก่อนเลยว่า ชุดนี้ she เลือกเองค๊า )
แฟชั่นก้นดำไม่ปรึกษาใครเลย แนวสุด ๆ ไม่เน้นความลงตัวใด ๆ ทั้งสิ้น เสื้อไปทาง กางเกงไปทาง รองเท้า
บูทดอร่า นี่สุดโปรดของเธอ บางวันใส่เสร็จมีหมุนตัว ส่องกระจก แล้วหลุดปากออกมาว่า " สวย "





ล่าสุดก้นดำสามารถแยกแยะได้ว่าอาหารที่หนูกิน อันไหนอร่อย อันไหนไม่ได้เรื่อง ช้อบหรือไม่ช้อบ
ล่าสุดพาไปกินอุด้งร้านญี่ปุ่น แม่ตักเส้นกะน้ำแกงให้หนูกิน ซึ่งปกติเป็นสิ่งที่ she โปรดปราน
กินไปได้ไม่กี่คำ ก็ไม่ยอมกิน ป้าต้าถามว่า กีต้าร์ ด้ง ด้ง อร่อยป่ะ



she สั่นหัว พร้อมกับเสียง หื่อ หื่อ ( แปลว่าไม่ปลื้ม )


แม่อุ๊เลยตักมิโซซุปป้อนให้แทน คราวนี้ถามใหม่ กีต้าร์ มิโซอร่อยป่าว




ก้นดำ : ย้าม - มี่








โอกาสหน้า หนูจะมาหาใหม่ค๊า

~ งอน ~

หลังจากปล่อยให้พี่อ้อแวะมาแจมไปหนึ่งหน้า วันนี้ทวงพื้นที่คืนก่อนค่ะ ไว้พี่อ้อเขียนเรื่องร้านในดวงใจ
ที่เหลือเสร็จเมื่อไหร่ คงมีโอกาสมาแจมอีก


ปล. นู๋พัชจ๊ะ หน้าที่แล้วเรื่องขนมจีนเนี่ย พี่อ้อเป็นคนเขียนค่ะ ไม่ใช่พี่ต้า

^ ............................................ ^


ปกติหลังเลิกงาน ช่วงเวลาที่อยู่บ้าน เราก็จะนั่งดูหนังด้วยกัน กินขนมกัน คุยกัน และ
เข้านอนพร้อมกันทุกคืน นอกซะจากว่าถ้ามีใครง่วงจัด ก็จะไปส่งอีกฝ่ายเข้านอนก่อน
แล้วถึงค่อยออกมานั่งดูหนังหรือทำอะไรต่อ


เมื่อช่วงที่เริ่มเขียนบล็อกใหม่ๆ เห่อค่ะ ว่างไม่ได้ ว่างปุ๊บต้องมานั่งอ่านเรื่องของเพื่อน ๆ ไม่ก็นู้นนี่นั่นอยู่หน้าคอม แล้วบวกกะเพิ่งหัดลองใช้โปรแกรมทำรูป เลยยิ่งเพลิน ดึกดื่นค่ำคืนยังไม่ยอมไปนอน
ปล่อยให้พี่อ้อเข้านอนก่อนอยู่ 2-3 คืน


เวลาพี่อ้อเห็นเรานั่งอ่านไดของเพื่อน ๆ ก็จะมีประโยคเปรย ๆ มา


" ทำไรอ่ะ….. นั่งอ่านเรื่องชาวบ้านอีกแร่ะ "


จนมีอยู่วันนึง พี่อ้อพูดว่า " เด๋วจะเอาคอมไปทิ้ง "


หู๊ย ไมอ่ะ


" เอาแต่อยู่หน้าคอม เด๋วสถาบันครอบครัวมีปัญหาไม่รู้นะ "


จ๋อย แต่ยังไม่สลดค่ะ ทำเนียนงอนกลบเกลื่อน หานู้นนี่มางอน
จนท้ายที่สุด กลายมาเป็นไม่พ้นพี่อ้อต้องเป็นคนมาง้อค่ะ


" โอเคค่ะ เค้าล้อเล๊น อยากเล่น เล่นไปเลยจ๊ะ ไม่ว่าแล้วค่ะ หายงอนเน้อออ" เฮ้อ!!


" แต่ พี่ขอแค่ แบ่งเวลาให้ครอบครัวมั่ง ขอแบบพอดี ๆ อ่ะ ทำได้ป่ะค่ะ"


โอเคค๊า เค้าจะเล่นแบบพอดี พอดี ^ o ^


ว่าแต่. . . พี่ไม่อยากเขียนมั่งเหรอ เขียนไรก็ได้น๊า เด๋วเค้าให้พื้นที่บล็อก
ไปนึกมานะ แล้วร่างไว้ เด๋วเค้าอัพให้


อิ อิ แล้วก็สำเร็จ แผนการหาแนวร่วมของเรา ^, ^


ได้ ขนมจีน สวัสดี มาหนึ่งเรื่อง คอยติดตามอีก 2 ร้านอร่อยในดวงใจพี่อ้อ เร็ว ๆ นี้นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ขนมจีน . . . สวัสดีค่ะ

หน้านี้มีแขกรับเชิญค่ะ เป็นเรื่องราวที่อยากแบ่งปันของคนใกล้ตัวต้านี่เอง



ไม่ให้เป็นการเสียเวลา ไปรับฟังรับชมกันเลยค่ะ



This story by P'aor > > >




ระหว่างนั่งคีบก๋วยเตี๋ยวในร้านโปรดอยู่ ก็นึกอยากจะแบ่งปันของอร่อยที่เราชื่นชอบ ก่อนที่จะเข้าการบรรยายอะไรนะคะ ขอแทนตัวเองว่าพี่หล่ะกันนะ เพราะรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นเช่นนั้นในเครือข่ายนี้




ของอร่อยที่อยากให้ชาวโลกรับรู้อันดับแรกได้แก่... (เสียงเพลงในรายการตีสิบช่วงดันดาราขึ้น) ขนมจีนน้ำยาป่ากิ่งเพชร


ซอยกิ่งเพชรคือซอยเพชรบุรีตัดใหม่10 ร้านนี้กินมานานแล้วค่ะตั้งแต่อยู่ป.1 ป.2 ร้านตั้งอยู่ในตลาด เป็นตึกคูหาห้องเดียวตรงหัวมุมตึก อุปกรณ์แต่งร้านคือตู้เย็นโบราณและเข่งขนมจีนกองรวม ๆ กัน เวลาตอนเด็ก ๆ ก็จะสั่งว่าขอน้ำใส จริง ๆมันก็ไม่ได้มีน้ำยาหลายหม้อหรอกนะคะ จะน้ำใส น้ำข้น มันก็มาจากหม้อเดียวกัน แต่แม่ค้าจะปาดน้ำส่วนบนให้
ไม่ให้เยื่อขุ่นๆมันปนขึ้นมาด้วย เอาง่ายๆคือไม่ได้คนก่อนตักน้ำนั้นเอง (อธิบายซะยาว)



พูดถึงแม่ค้าขอให้รายละเอียดนิดนึง เป็นผู้หญิงตาชั้นเดียว ผมสั้นดัดอ่อน ๆ หมวยแท้ไม่มีปนปลอมอายุประมาณ30กว่า นี้คือเล่าจากความทรงจำตอน ป.1 ป.2 นะคะ ขนมจีนเขาอร่อยมากจะมีเครืองเคียงคือผักกาดดอง จะเสริฟ์ออกมาจากไหเลย ไหนี้จะตั้งอยู่ใต้โต๊ะ แม่ค้าส่งจานขนมจีนเสร็จ ก็จะควักผัดกาดดองจากไหสดๆให้เห็นกันจะ ๆ ไหนี้พอใช้เสร็จก็ขึงสายใช้ดีดได้เลย




พอป.3 พี่ย้ายบ้านก็ไม่ได้ไปกร้ำกรายแถวนั้นอีกเลย จนกระทั่งทำงานแล้ว 10กว่าปีผ่านไปน่าจะได้ ยังคิดถึงอยู่


แวะไปดูดิว่ายังอยู่เปล่า สภาพแถวๆนั้นเปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่ร้านที่เคยซื้อขนม ร้านที่เคยถูกถอนฟัน ยังอยู่


เดินเข้าไปในตลาด ลุ้นว่าร้านขนมจีนยังอยู่เปล่า โอ้ว..ดีใจยังอยู่ เหมือนร้านนี้ตั้งอยู่บนเส้นรุ้งแวง อะไรสักอย่าง ที่เวลาทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิมทั้งหมด ทั้งตู้เย็นโบราณที่คงแช่อะไรไม่ได้แล้ว โต๊ะที่นั่ง 10กว่าปีที่แล้วเป็นยังไง ก็ยังอยู่อย่างนั้น และที่สุดยอดจริง ๆ คือแม่ค้าหมวยคนเดิม เหมือนถูกสต๊าฟไว้ หน้าตา ผมเผ้า ไม่เปลี่ยนไปเลย เหมือนพี่เบริ์ดกะแซมยุรนันท์ที่เวลาไม่อาจฆ่าฉันได้ รสชาดอร่อยเหมือนเดิมซื้อกลับไปฝากใครไม่มีทำให้เสียหน้า ของเขาดีจริง ๆ



แต่มีด้านสว่างก็มีด้านมืด ขอเล่าด้านมืดเลยนะ (จุดเทียนอ่านนะคะ เพราะมันมืด) เคยชวนเพื่อนไปกิน ระหว่างที่นั่งกินก็คุยกันว่า "เล็ก คราวหน้ากูพกช้อนกะจานมาเองดีกว่า"
คือแบบว่าจานกะช้อนนี้คราบขาวรอบเลยค่ะ เหมือนไม่เคยผ่านสก๊อตไบร์มาก่อน ไอ้เล็กก็นั่งกินไปคว้าถั่วฝักยาวมาหักนั่งเคี้ยว คนข้างๆชำเลืองมอง ระหว่างเดียวกัน ลูกค้าที่เดินเข้าร้านมาใหม่ส่งถั่วฝักยาวให้แม่ค้า ๆ ก็โยนลงไปในหม้อน้ำยาที่กะลังเดือด ๆ ช่วงนั้นสมองก็ประมวลผลจากภาพที่เห็นบอกว่า เล็กมึงกำลังกินถั่วฝักยาวคนอื่นอยู่ สมองไอ้เล็กก็คงประมวลผลได้เช่นเดียวกัน มันเลยหันไปยิ้มแล้วขอโทษคนข้าง ๆ




ถั่วฝักยาวเนี้ยแบบซื้อจากแผงข้างๆแล้วลงหม้อเลยหนังกะติ๊กยังพันอยู่เลย สารตะกั่ว ยาฆ่าแมลง มากันครบ
คือร้านนี้เขามีแต่ผัดกาดดองให้อย่างเดียว ใครอยากกินผักอะไรก็มาฝากต้มในหม้อน้ำยาจับช่ายนี้


เคยคิดว่าจะไปซื้อใส่ถุงกลับแต่เช้า ก่อนใครจะเอาอะไรไปต้ม เพราะมันอร่อยอ่ะ แต่จากวันนั้นก็ผ่านไป10กว่าปีอีกแล้ว...ยังไม่ได้กลับไปอีกเลยแต่ยังคิดถึงอยู่....



ใครผ่านไปแถวนั้นก็แวะไปดูนะคะไม่รู้จะยังอยู่หรือเปล่า กินไม่กินอีกเรื่องนึง






พูดถึงขนมจีน.. ขอเม้าท์ที่รักหน่อย ช่วงหลายปีมาแล้ว มีข่าวขนมจีนผสมทิชชู่ เคยเตือนเขาว่าจะกินขนมจีนให้ระวัง เขาตอบกลับมาว่า แค่ทิชชู่เอง (ให้เสียงธรรมดามากเหมือนกินส้มแล้วลืมคายเม็ด) งงเลยตรู เลยควักวิชาสุขศึกษาบอกว่า ทิชชู่ไม่ใช่อาหารนะที่รัก มีทั้งสารฟอกขาวสารเคมีสารพัด ที่รักบอกว่าทิชชู่ทำมาจากไม้ๆกินได้ คิดเอานะคะ ไม้กินได้ มีแฟนเป็นหมีอโคล่าหรือเปล่าวะเนี้ย






ยังมีอีก 2 อันดับที่อยากให้โลกรับรู้เรื่องของกินในดวงใจ แต่รู้สึกมันจะยาวเกินไปแล้ว โอกาสหน้าพี่จะมาหาใหม่


เหมือนเพลงลูกทุ่งสักเพลงไม คุ้นไม คุ้นหน่อยนะ แล้วเราจะกลับมา.




Story by P'aor


วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หลอน...

จั่วหัวกันให้ดูน่ากลัวเล่นค่ะ แต่อันที่จริงก็พอขนลุกอยู่นา

เรื่องของเรื่องคือ มีอยู่วันนึงหลังจากพลพรรคหม่ำข้าวกันเสร็จ ก็แวะเข้าเมืองค่ะ เพื่อจะไปซื้อดีวีดีสักหน่อย


เกริ่นกันสักนิ๊ด สถานที่นึงที่เด็กไทยทุกคนที่นี่ต้องรู้จักเป็นอย่างดีคือ ไทยทาวน์ค่ะ เป็นศูนย์รวม ร้านอาหารไทย ร้านขายของชำ ร้านขายดีวีดีไทย ( เป็นรายการทางเมืองไทยที่ไรท์ใส่แผ่นมาขายค่ะ มีแทบทุกรายการ ) ไทยทาวน์ ไชน่าทาวน์ อยู่ใกล้ ๆกันค่ะ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณถนนหลัก ( George street ) ของที่นี่

ร้านดีวีดีมีกันอยู่หลายร้านค่ะ แต่ร้านนี้เราซื้อประจำมานาน และราคาก็ถูกที่สุด รายการปกติก็แผ่นละ 80 เซนต์ ( ประมาณ 20 บาท ) ถ้าพวกคอนเสริ์ตก็ $2.50 ร้านนี้จะเช่าอยู่บนชั้น 2 ของตึกเก่า ๆ ตึกนึงค่ะ








( ภาพไม่ชัดเนื่องจากใช้มือถือถ่ายอ่ะคะ )







วันที่เราไปถึงที่ร้าน ประมาณ 3 ทุ่มกว่าแร่ะค่ะ ขณะที่กำลังเลือกแผ่นอยู่


ก้นดำ : จี่ จี่ ( ฉี่ ฉี่ )


แม่อุ๊ : น้องค่ะ บนนี้มีห้องน้ำมั้ย น้องเค้าปวดฉี่อ่ะค่ะ


น้องคนขาย : อ๋อ ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 3 เลยค่ะ


ป้าต้า : พี่ไปด้วยอุ๊ ปวดนิด ๆ เหมือนกัน พี่อ้อนั่งเลือกไปก่อนนะ เด๋วมา


แล้วสามสาวก็ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 3 ค่ะ เปิดลิฟต์ปุ๊บ เอ๊ะ ไปทางไหนต่อ





มีประตู 2 บานค่ะ บานนึงล็อก ดูเหมือนจะเป็นร้านเช่าทำอะไรสักอย่าง อีกบานเหมือนประตูเปิดไปทางหนีไฟ ตัดสินใจลองเปิดดู เป็นทางหนีไฟที่มีทางเดินทะลุต่อไปได้อีก แล้วก็มีห้องเหมือนห้องพักเก่า ๆ ตึกก็เก่าอยู่แล้ว ทางเดินไฟไม่ค่อยสว่างสักเท่าไหร่ มันดูทึม ๆ พิกลค่ะ เดินไปจนสุดทาง ยังไม่เจอห้องน้ำ ตัดสินใจเดินกลับลงมา น้องคนเดิมบอกว่า อ้าวพี่ มันต้องเลี้ยวซ้ายไปอีกจะเจอประตู เวร แล้วไม่บอกแต่แรก










(วันที่ไปถ่ายภาพ เขาเปิดประตูคาแล้วใช้ถังอ๊อกซิเจนดักไว้ค่ะ )






ขึ้นไปใหม่ค่ะ พอถึงตรงที่ทางเลี้ยวก็เจอประตูอีกบาน เปิดไป เจอแล้วค่ะห้องน้ำ แต่.....




มันรู้สึกแปลก ๆ บอกไม่ถูกค่ะ ห้องน้ำมีอยู่ 2 ห้อง อีกห้องเป็นเหมือนห้องอาบน้ำ อุ๊พาก้นดำเข้าห้องกลางค่ะ ระหว่างรอ เราก็สำรวจนู้นนี่ ห้องน้ำบรรยากาศเก่ามั่ก ๆ ค่ะ มันไม่ได้เก่าแบบสกปรก ไม่ได้เก่าแบบโบราณ แต่ด้วยบรรยากาศโดยรวม ทำให้นึกถึงหนังสยองขวัญ ที่มีฉากตามโรงพยาบาลร้าง อะไรประมาณนั้นค่ะ




พอกีต้าร์ฉี่เสร็จ ปกติ she จะต้องขอฉีกทิชชู หรือไม่ก็ขอกดน้ำเอง ให้วุ่นวาย แต่วันนี้ พอเสร็จกิจ she พุ่งตรงออกจากโถ วิ่งออกมานอกห้องน้ำ เพราะอุ๊ไม่ได้ปิดประตู ไม่สนใจอะไรเลย นอกจากตรงดิ่งไปที่ประตูห้องน้ำแล้วกระชากที่จับ ด้วยความที่เด็กยังไม่มีแรงขนาดดึงประตูได้เอง กีต้าร์จึงทำได้แค่โยกมือจับประตูไปมาป้าต้ารีบเดินไปเปิดให้




พอประตูเปิดปุ๊บ กีต้าร์ก็วิ่งออกไป เลี้ยวขวาแล้วก็วิ่งตามทางเดินห้องพักไปจนถึงประตูอีกบาน แล้วก็ทำแบบเดิมค่ะ กระชากที่จับประตูโยกๆอยู่อย่างนั้น จนเราวิ่งตามไปทัน




ระหว่างที่ตามไป เราก็พูดตลอดว่า กีต้าร์เป็นอะไรอ่ะ หนูจะรีบไปไหนลูก รอแม่กะป้าด้วย กีต้าร์ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นค่ะ พอเปิดประตูบานสุดท้ายให้ she ก็วิ่งไปที่ลิฟท์ กดลิฟท์ แล้วก็จู๊ดเข้าลิฟท์ไปเลย พออยู่ในลิฟท์กัน เราก็ถามต่อ



ป้าต้า : กีต้าร์ หนูเห็นอะไรลูก


ก้นดำ : ทำหน้าแปลก ๆ ( เดาไม่ถูกว่าshe จะบอกอะไร )



ระหว่างทางที่วิ่ง she ไม่หันหลังกลับมามองป้าและแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่ง ผิดวิสัย she มั่ก ๆ ค่ะ
พอมาถึงร้าน เราก็เลยถามน้องคนขายว่า


ป้าต้า : น้องค่ะ ปกติเวลาน้องไปเข้าห้องน้ำเนี่ย น้องไม่รู้สึกแบบ.....

น้องคนขาย : เอ่อ พี่ค่ะ อย่าบิ้วค่ะ หนูพยายามไม่คิด พี่ได้โปรดอย่าบิ้วหนู


_ _'




ถัดจากนั้นไม่กี่วัน แวะไปซื้อหนังอีก คราวนี้ไปกะพี่อ้อสองคน แต่เป็นกลางวัน


ต้า : ดาร์ลิ้ง อยากเห็นป่ะคะ ว่าห้องน้ำที่เล่าให้ฟัง เป็นยังไง


พี่อ้อ : ไม่อ่ะ


ต้า : ทำไมอ่ะ ไม่อยากไปดูด้วยตัวเองหน่อยเหรอ นี่กลางวันนะ


พี่อ้อ : ไปด้วยกันนะ


ต้า : ไม่เอาอ่ะ พี่ขึ้นไปเองละกัน


พี่อ้อ : งั้น ไม่ไปดีก่า กลัว




ทิ้งระยะมาหลายเดือนค่ะ คืนวันตรุษจีน ที่นี่มีงานฉลองใหญ่โต เพราะคนจีนที่นี่เยอะมาก ๆๆ ปิดถนนสายหลักกันเลยทีเดียว มีแห่สิงโต นู้นนี่กันคึกคัก ร้านที่ว่านี่อยู่บนถนนเส้นนี้พอดีค่ะ



คืนนั้นเราก็ไปร้านหนังกันอีก และ ก้นดำมันปวดจี่อีกแร้วค่ะ

คราวนี้พี่อ้อยอมขึ้นไปกะอุ๊และก้นดำ ส่วนเรา ขอรออยู่แค่หน้าลิฟท์ พกใจมาน้อยค่ะ กล้าได้แค่นี้จริง ๆ
กลับมาปุ๊บ รีบสัมภาษณ์พี่อ้อเลย


ต้า : เป็นไงมั่ง น่ากลัวมั้ย

พี่อ้อ : อืม น่ากลัว แต่พอดีวันนี้ถนนหน้าตึกมันมีงาน เลยไม่ค่อยวังเวงสักเท่าไหร่ เสียงมันดัง เลยรู้สึกไม่ค่อยน่ากลัว แต่ถ้าเป็นวันปกติที่เงียบ ๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลกนึงอ่ะ



ต่อให้เป็นวันที่ปวดฉี่ขนาดไหน เราก็จะไม่มีทางเข้าห้องน้ำที่ตึกนี้แน่นอนค่ะ กลัววว

ตอนที่นึกว่าจะเขียนเรื่องนี้ ก็บอกกะพี่อ้อ


ต้า : พี่อ้อ เด๋วเค้าจะเขียนเรื่องห้องน้ำที่ร้านดีวีดีนะ

พี่อ้อ : ก็ต้องไปถ่ายรูปสถานที่มาด้วยอ่ะดิ

ต้า : ม่ายยยยยยยยยย ไม่เอาหรอก

พี่อ้อ : เอ๋า ไม่งั้นเขาจะนึกภาพออกได้ไงอ่ะ

ต้า : ถ้าไปถ่ายแล้วเกิดมีอะไรติดมาในภาพอ่ะ

พี่อ้อ : ก็ดีสิ แปลกดี




คืนวันศุกร์ แวะไปซื้อดีวีดี เลยใช้มือถือถ่ายมา แต่ใจกล้าได้แค่หน้าประตูจริง ๆค่ะ ไม่สามารถไปเก็บภาพได้ถึงในห้องน้ำเลยจริง ๆ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

หากันจนเจอ ^ ^


ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อยู่ ๆ พี่อ้อก็เกิดอยากได้แฟชั่นรองเท้าสีเจ็บค่ะ ดูอยู่หลายร้าน หลายยี่ห้อ
ไม่ได้เจาะจงยี่ห้อไหนเป็นพิเศษเนื่องด้วยเราไม่ติดแบรนด์ค่ะ โนแบรนด์ก็ยังได้ ขอแค่ถูกใจ และราคาพอรับไหว


จนไปสะดุดกับยี่ห้อ Onitsuka Tiger มีแต่แบบสวย ๆ เต็มไปหมด อยากได้ ๆ แต่...
ไม่มีsize ค่ะ เอเซียหัวดำอย่างเรา ตรีนไม่ยาวเท่าฝรั่งหัวทอง ทำได้แค่แอบชื่นชมอยู่ห่าง ๆ
ขอเมียงมองทุกครั้งที่เดินผ่าน shop

จนกระทั่งเรามีโอกาสกลับเมืองไทยเมื่อปลายปี ไปตระเวณหาเลยค่ะ แต่ไม่เจอเลย
เจอแต่ของ copy..เพียบบบบ (ไม่รู้ว่บ้านเราไม่มีshop ของแบรนด์นี้หรือว่าเสล่อหาไม่เจอเองหว่า)
ไปเดินหาที่สยาม เจอร้านเล็ก ๆ อยู่ร้านนึง มีโชว์อยู่ไม่เกิน 5 คู่ แต่แบบไม่ถูกใจ
ไปเดินเจอที่ จตุจักร คนขายบอกว่า บ้านเรามีของ copy ขึ้นอยู่กับว่าเกรดไหน จีนหรือเวียดนาม
จากเมืองไทยมาพร้อมกับของ copy 2 คู่ ก็ดีเหมือนกัน ใส่ขำ ๆ ไม่ต้องรักษามาก

แต่แล้ววันนึง เราก็หากันจนเจอค่ะ มีผลิตและวางขาย size เล็ก เป็น size 5 ผู้ชาย
จัดไปอย่าให้เสียค่ะ สมนาคุณให้พี่อ้อเป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่ผ่านมา



ส่วนเราเอง ได้ Set ทำผมของ ghd มาค่ะ เป็นยี่ห้อที่ดังของที่นี่ ไม่รู้บ้านเรามียี่ห้อนี้รึยัง
เรื่องของเรื่องคือ ก่อนคริสต์มาสสักเดือนนึง เปรย ๆกะอุ๊ว่าอุ๊ใช้ที่หนีบผมของไรอยู่เหรอ เนื่องจากไม่เคยใช้
เลยไม่มีข้อมูลด้านนี้มาก่อน


อุ๊ : ของวีเดิ้ลแซสซูนก็ดีนะพี่ อุ๊ใช้อยู่ ถ้าซื้อตอนมันจัดเป็นคู่ จะขายพร้อมกับไดร์ set ละ $70 ไม่แพงมาก

ต้า : อืม เด๋วพี่ลองไปเดินๆ ดูละกัน ช่วงนี้รู้สึกอยากใช้มั่ง อยากมีผมแบบตร๊ง...ตรง

ผ่านไปสัก อาทิตย์ สองอาทิตย์

ต้า : อุ๊ พี่ไปเห็นที่บ้านลูกค้าหลายคนแร่ะ ใช้ของ ghd แล้ววันก่อนพี่อ้อไปตัดผม ที่ร้านเค้าก็ใช้ เค้าบอกว่าใช้ดี ผมไม่ฟู เค้าใช้มาหลายยี่ห้อแล้ว อันนี้ถูกใจสุด แต่พี่ว่าราคาสูงไปหน่อยนึง อันละประมาณ $200

อุ๊ : หือ แพงเหมือนกันเนอะ แต่มันอาจจะดีจริง ๆก็ได้นะ

เวลาผ่านไปก็ยังไม่ได้ซื้อ เพราะทำใจไม่ได้ค่ะ เสียดายตังค์อ่ะ จนวันที่ 24 ก่อนวันที่เราจะเดินทางไป gold coast กัน คืนนั้นหลังเลิกงาน นัดกะอุ๊ไว้ ว่าอุ๊กะก้นดำจะมานั่งเล่นที่บ้าน เลิกงานปุ๊บ โทรหาอุ๊ บอกว่าเลิกงานแล้ว อีกไม่เกินสิบห้านาที จะถึง Town Hall อุ๊ออกมาได้เลย คุยเสร็จ อุ๊ขอสายพี่อ้อต่อ
พี่อ้อ : อืม อุ๊ ว่าไง อืม อืม อื้อ เออ นั่นแหล่ะ

เป็นการคุยที่ผิดจากปกติค่ะ รับรู้ได้ในทันทีว่าต้องมีอะไรกันแหง๋ม ๆ ปิดบังไรเราแน่เลย

กลับถึงบ้าน ทั้งคู่ดูลุกลี้ลุกลน จนสุดท้าย เฉลยมาเป็นสิ่งนี้ค่ะ







ไอ้ที่พี่อ้ออ้ำอึ้งทางโทรศัพท์ คือ อุ๊ถามว่าจะให้เมื่อไหร่พี่อ้อ คืนนี้เลยป่าว หรือหลังคริสต์มาส แล้ว... ฯลฯ


เพราะพี่อ้อไม่สัดทัดของแนวนี้ เลยต้องให้อุ๊พาไปซื้อ แล้วก็มาซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า
พี่อ้อบอกว่า มันมีแบบรุ่นเก่าสีดำธรรมดา กับแบบใหม่เป็น Limited Edition มี 2 สี สีทอง กะ สีม่วงอันนี้

และเรา ชอบสีม่วง ^ ^

จริงๆ ที่บ้านเราก็มีไดร์อยู่แล้ว แต่มันไม่ค่อยแรง แต่พี่อ้อบอกว่า ซื้อเป็น set มันถูกกว่าซื้อที่เฉพาะที่หนีบ
ราคาทั้ง set $300

ต้า : สามร้อยยยยย แพงไปมั้ยอ่ะดาร์ลิ้งงงงง T T"
เสียดายตังค์
แอบมาสารภาพกะพี่อ้อว่า ที่จริงหน่ะ เค้าไม่รู้หรอกว่าพี่จะซื้ออันนี้ให้ แต่พอเห็นอ้ำอึ้งกะอุ๊วันนั้นแหล่ะ
รู้เลย

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ของสะสม

ยังมีใครสะสม stamp อยู่มั้ยค๊า
ลูกใคร หลานใคร น้องใคร สะสมมั้ยค๊า


คือตอนเด็ก ๆ เคยสะสมค่ะ แต่พอโตขึ้นก็ลืม ๆ มันไป แล้วโดยส่วนตัวก็ชอบส่งโปสการ์ด มันดูละเอียดอ่อนกว่าการส่งเมล์
สมัยต้ายังอยู่เมืองไทย เราก็มักจะใช้วิธีส่งโปสการ์ดหากันมากกว่าอีเมล์ จำได้ว่าได้โปสการ์ดจากพี่อ้อพอสมควรเลยทีเดียว เวลากลับไปเปิดอ่านทีไร มันทำให้เรานั่งอมยิ้มได้โดยไม่รู้ตัวจริง ๆค่ะ
มาจนบัดนี้ก็ไม่ได้รับโปสการ์ดจากพี่อ้ออีกเลย นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เนี่ยแหล่ะ T T"
( เริ่มนอกเรื่องแร่ะ วกกลับมาเข้าเรื่องต่อค่ะ )
จนมาอายุปูนนี้ เวลาเห็น stamp สวย ๆ ก็อดที่จะฉีกเก็บไว้ไม่ได้ แต่ไม่ได้สะสมค่ะ
เลยคิดว่าถ้าใครสะสม ก็อยากจะให้ค่ะ stamp จะได้ไปอยู่ในที่เหมาะสม ไม่ต้องมาหมก ๆรวมกันแบบนี้
ใครอยากได้ แจ้งความประสงค์ได้นะคะ จะจัดให้ค่ะ



พูดถึงเรื่องของสะสม มีของสะสมของหวานใจมาแบ่งปันให้ชมค่ะ (แต่ละอย่างเปลืองตังค์ทั้งน๊าน ถึงยังเก็บตังค์มะได้สักที)แต่อย่างว่าค่ะ คนเราต้องมีสิ่งที่รักที่ชอบ ทำแล้วสุขใจ ทำไปค๊า

ส่วนเรา มาถึงตอนนี้แล้ว สะสมอยู่อย่างเดียวค่ะ Money นั่นเอง แต่สะสมมาตั้งนานแร่ะ ยังไปไม่ถึงไหนสักที
" สะสมสิ่งของอาจต้องเสียตังค์ สะสมสะตังค์ ไม่เสีย ไม่เสีย หุ หุ "


ท้ายบล็อกนี้ขอใช้พื้นที่ส่งข้อความถึงคุณกี้ loveislove หน่อยนึงนะค๊า

loveislove : กล่าวว่า...
มาอ่านช้า เพราะอยากอ่านแบบตั้งใจค่ะ ^^เวลาไปเที่ยว ต้องเตรียมอาหารแบบนี้เนอะสะดวก แล้วก็ประหยัดดีด้วยทำเหมือนกันเลยค่ะ แต่เป็นข้าวเหนียวหมูทอด 5555

" เข้ามาอ่านช้าไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจหลายแร้ววว แถมยังตามเม้นท์ให้ด้วย ...ปลื้มใจได้อีกค๊า "
อีกอันนึง
loveislove กล่าวว่า...
อ่านหน้านี่ไปยิ้มไปรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยยังไงยังงั้นอินสุดๆๆๆๆคุณต้าทำเอาต่อมกิเลสกี้ฟูฟ่องเลยนะคะเนี่ย ^^
" ดีใจค่ะ ที่บล็อกต้าก็ยังมีประโยชน์ อย่างน้อยก็ทำให้คนอ่านยิ้มได้ "
ว่าแต่ น้องใบชาสะสม stamp มั้ยค๊า
หรือว่าเด็กสมัยนี้เค้าเลิกสะสมกันแร้วหว่า เพราะคงไม่ต้องใช้จดหมายกันแร้วสิเนอะ

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผ้าเหลือง

วันก่อนไปเดินเล่นที่ตลาดในเมืองค่ะ ชื่อ Paddy Market เป็นตลาดขายของที่ระลึกนานาชนิด
เดินไปเดินมา หางตาเหลือบไปเห็นชุดเหลือง ๆที่คุ้นเคย ใช่แร่ะ พระค่ะ พระไทย 3 รูป
เดินเจอพระในเมืองไทยคงไม่แปลกค่ะ เห็นกันบ่อย ๆ ตามพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ บ้านหม้อ
แต่เดินเจอที่นี่ไม่ธรรมดาค่ะ แถมยังเจอเดินอยู่ในที่ซึ่งไม่ควรจะเป็นที่ของสงฆ์
นี่มันตลาดเลยนะคะ คนเพียบ แล้วที่สำคัญ กำลังยืนเลือกต่างหูอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับ
ขณะที่รูปนึงเลือกอยู่หน้าร้าน รูปนึงก็ยืนอยู่ข้าง ๆ อีกรูปเดินเข้าไปในร้าน แล้วหันกลับมาบอกว่า
" ถ้าจะเอาต่างหูคู่นั้น ต้องซื้อสร้อยเส้นนี้ไปด้วยสิ จะได้เข้าชุดกัน "
จากนั้นก็จ่ายตังค์ค่ะ คนขายเป็นสาวจีนวัยกลางคน ผิวขาวจั๊ว จ่ายเงินรับเงินทอนแบบส่งถึงมือ
ระหว่างที่รับเงินทอน พระรูปนั้นจ้องมองสาวจีนพร้อมกับยิ้มให้ ระหว่างนี้เรายืนจ้องอยู่ไม่ไกลนัก กะให้
พระสักรูปมองมาเห็นว่ามีคนไทยหัวดำเห็นเหตุการณ์ที่ท่านๆกำลังทำอยู่



อีกอันนึงก็ตอนไปงานเทศกาลดอกทิวลิปที่แคนเบอร่าค่ะ ระหว่างข้ามถนนหน้างาน เดินสวนกับพระไทย
พอข้ามถึงอีกฝั่งก็หันกลับไปมอง เห็นกำลังเดินเข้าไปเพื่อเบียดเสียดกับผู้คนนับพัน
เดินจากมาด้วยความเศร้าใจค่ะ การมาเดินหาซื้อเครื่องประดับในสถานที่แบบนี้มันใช่กิจของสงฆ์หรือนี่
หรือท่าน ๆคิดกันว่ามาต่างบ้านต่างเมือง คงไม่มีใครเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ คงลืมไปว่าที่นี่คนไทยเยอะขนาดไหน



แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็น ท่านก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ว่าท่านกำลังทำอะไรกันอยู่!!

Lovely day



Thank you so much darling ... I really happy with valentine gift that you gave me.

Lots of love

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Last day in Movie world



Last day in Movie world


เริ่มต้นเช้าวันนี้ที่ 9 โมงเช้าค่ะ หลับสบายเต็มอิ่มพร้อมลุยเที่ยว แถมวันนี้อากาศดีค่ะ แดดเปรี้ยงมั่ก ๆ ต่างจากเช้าวันแรกที่มาถึง ซึ่งมีฝนโปรยปราย

check out ตามเวลา 10 โมง ขอฝากสัมภาระไว้อีกรอบเพื่อความคล่องตัวในการเที่ยว แล้วมุ่งหน้าสู่ สวนสนุกขนาดใหญ่ค่ะ แบ่งเป็น 3 ที่ อยู่ไม่ไกลกันมากนัก


หลังจากที่เมื่อวานได้เดินสำรวจสถานที่ใกล้ที่พัก สังเกตุได้ว่าจะมีบูทขายตั๋วสวนสนุกและที่เที่ยวอื่น ๆเป็นแบบแพ็คเก็จค่ะ
มีอยู่หลายบูทด้วยกัน ถ้าซื้อตั๋วแบบรวมเที่ยวทั้ง 3 ที่ จะถูกกว่าราคาปกติค่ะ จะมีเวลาให้แบบ 3 ที่ 2 วัน อะไรประมาณนั้น
แต่ด้วยความที่เรามีเวลาแค่วันเดียว จะเที่ยว 2 ที่คงจะลนน่าดู เลยตกลงกันว่า เอาที่เดียวก่อนแล้วกัน จะได้ไม่ต้องล่ก



ว่าแล้ววก็รีบเข้าไปใน shop ที่เมื่อวานเล็งกันไว้แต่ร้านยังไม่เปิด ติดราคาแพ็คเก็จไว้ว่า ไป 2 ที่แค่ 20 เหรียญ
กะว่าบูทนี้แหล่ะ ถูกสุดแร่ะ ปรี่เข้าไปยิ้มหวานให้พนักงานแล้วแจ้งความประสงค์ค่ะ ( แปลเป็นไทยได้ดังนี้)


We : จะซื้อตั๋วสำหรับสองคนไป sea world & movie world ค่ะ
Staff : คุณมีบัตร.... (อะไรสักอย่าง) มั้ยค่ะ
We : ไม่มีค่ะ บัตรนักเรียนใช้ได้มั้ยค่ะ
Staff : เอ่อ.... (สั่นหัว) แล้วถือ passport ของอะไรค่ะ ถ้าเป็นในเครือที่ร่วมก็ใช้ได้ค่ะ
We : Thailand ค่ะ
Staff : เอ่อ..... ( สั่นหัวอีกรอบพร้อมยิ้มเจื่อนๆ)
We : แล้วประเทศในเครือนี่มีอะไรมั่งอ่ะคะ
Staff : ก็เช่น นิวซีแลนด์ ฟิจิ ฯลฯ

จ๋อยค่ะ เดินกลับออกมา เอาใหม่ ทีนี้เลือกซุ้มขายตั๋วของ Information ประจำเมืองค่ะ
หลังจากที่ได้รายละเอียดมาแล้ว เราก็เลยถามพนักงานไปว่า แล้วที่หน้าสวนสนุกมีตั๋วขายรึป่าวค่ะ
เขาก็บอกว่ามีค่ะ แต่ว่าซื้อที่นี่จะถูกกว่า
เหรอ ๆ งั้นเอาค่ะ ซื้อเลยเนอะพี่อ้อ
ค่าตั๋วคนละ 63 เหรียญค่ะ ได้ตั๋วเรียบร้อย พนักงานบอกว่า ไปถึงแล้วไม่ต้องไปเข้าแถวนะคะ ให้ยื่นตั๋วนี้แล้วเข้าไปได้เลย
ตั๋วที่ได้เป็น ตั๋วออนไลน์ค่ะ เป็น A4 โอเคค่ะ รับทราบ สอบถามป้ายรถเมล์และสายรถที่จะไปเรียบร้อย พร้อมออกเดินทาง
ใช้เวลาเดินทางด้วยรถเมล์จากในเมืองประมาณ 30 นาที

Movie world , Sea world , white water world และ Wet n' wild
ตั้งอยู่ค่อนไปนอกเมือง เนื่องจากใช้พื้นที่ค่อนข้างกว้างมาก แต่ละที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก
ไปถึงก็อึ้งค่ะ แถวยาวมาเลย คนต่อคิวซื้อตั๋วกันพอสมควรค่ะ ทั้งที่มีประมาณ 5หรือ6 ช่อง
ดีนะนี่ที่เราซื้อตั๋วมาก่อนแล้ว ^ ^

เดินยิ้มกริ่มไปกันเลยค่ะ เลยช่องซื้อตั๋วเข้าไปถึงด่านตรวจตั๋วด้านใน รอจนถึงคิว
ปรากฏว่า...... พนักงานบอกให้เราเอาไอ้ A4 ออน์ไลน์เนี่ย ไปขึ้นเป็น Ticket ด้านหน้าก่อน
โอ้ววว ทำไมเนี่ย ไหนคนขายมันบอกว่าไม่ต้องต่อคิวแล้วไง อะไรกันเนี่ยยยย แถวไม่ใช่สั้น ๆ เลยนะเฟ้ย
ทำโวยวายไปงั้นละคะ เพราะท้ายที่สุดเราก็ต้องไปต่อคิวอยู่ดี



ต่อคิวเพื่อเอา ตั๋วออนไลน์มาแลกมาให้เป็น Ticket หน้าตาแบบนี้ค่ะ

ระหว่างต่อคิว ก็อยากรู้ว่าราคาตั๋วถ้าซื้อที่นี่เท่าไหร่ ของเราถูกกว่าเท่าไหร่ สายตาก็พลันเหลือบไปมองหาราคา adult
…. $64 ....... ภูมิใจม๊ากก มากค่ะ ซื้อได้ถูกกว่ากัน $1 คนขายมันพูดซะเหมือนถูกกว่าเกือบครึ่ง


กิจกรรมฆ่าเวลาระหว่างรอคิว


Warner Bros. Movie world เป็นโลกแห่งความสนุกที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ
ราคานี้รวมทุกอย่างแล้วค่ะ สามารถเล่นได้ทุกเครื่องเล่น เล่นกี่รอบก็ได้ ถ้าไม่ขี้เกียจต่อแถว มีโชว์ มีพาเหรดเป็นรอบ ๆ ไปค่ะ
ก้าวเข้าไปปุ๊บเหมือนหลุดไปอีกโลกเลยค่ะ ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมด อารมณ์เหมือนเรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
เดินเข้านู้น ออกนี่ เล่นบ้าง ไม่เล่นบ้าง เครื่องเล่นแนวหวาดเสียวเยอะค่ะ แต่... ไม่ได้เล่น
เพราะถ้าอยากเล่น ต้องเล่นคนเดียว พี่อ้อกลัวความสูงงง
ง่ะ งั้นไม่เล่นเป็นเพื่อนพี่อ้อละกัน (คุ้มมั้ยเนี่ย จ่ายไปแต่แทบไม่ได้เล่นไรเลยอ่ะ)


รถไฟเหาะค่ะ เหาะได้โดยมีพี่ซุปเปอร์แมนเข็นอยู่ท้ายขบวน




แบดดดแมนนนน จึ๋ย...




สูงได้อีก อีกนิดนึงจะทิ่มตูดเทวดาแร่ะ



เดินลั้นลามาจนถึงหน้าปราสาทแห่งนึงค่ะ เป็นปราสาทของ Scooby-doo ( หรือสกูปีดู นั่นละคะ ) ดูจากชื่อคิดว่าไม่น่าจะโหดมาก เลยลองเข้าไปค่ะ



ข้างในมืด ๆ อับ ๆ เดินวนไป วนมา จนเจอหางแถว แถวยาวหลายขดอยู่ค่ะ แต่เอาฟ่ะ เล่นอันนี้ล่ะ เด๋วจะเสียดุล ต่อคิวประมาณ 30 นาทีก็ถึงคิวค่ะ ระหว่างที่รอคิว สังเกตุเห็นคนที่รอเล่นมีหลายวัยค่ะ ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และ คนแก่
เราเห็นอาแป๊ะกะอาม่าคู่นึงค่ะ หน้าตาออกโซน เกาหลี ญี่ปุ่นประมาณนี้ ต่อคิวอยู่ด้วย อืม พี่อ้อใจชื่นค่ะ แสดงว่าคงชิล ๆ
เข้าไปปุ๊บ จะมีรถรางมารอค่ะ เป็นรถแบบคล้าย ๆรถไฟเหาะ แต่คันนึงนั่งได้ 4 คน คู่หน้าและคู่หลัง
เราได้นั่งคู่หน้าค่ะ คู่หลังเราเป็นแฟนกันหน้าตาออกแนวเกาหลี พอล็อคทุกอย่างปุ๊บ รถรางก็เริ่มเลื่อนไปข้างหน้าค่ะ
เลื่อนไปตามรางฝ่าความมืดไปเรื่อย ๆ เราไม่สามารถมองหน้าข้างหน้าได้เลยค่ะว่ามีอะไรอยู่ มันมืด เห็นมีแสงไฟบ้างข้างทาง
เป็นดวง ๆ ทำบรรยากาศจะคล้ายบ้านผีสิงก็ไม่เชิง คิดกันไว้ว่า คงเป็นแบบเด๋วมีอะไรโผล่มา แบร่ อะไรงี้ แต่...


เราประมาทมันเกินไปค่ะ โอ๊ยยยย หัวใจจะวายตาย มันเร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆบวกกับรางไม่ได้แล่นไปตรง ๆ อย่างเดียว
มันมีทั้งคดเคี้ยว หักศอก เหวี่ยง ขึ้นสูง ลงต่ำ ครบค่ะ เวลาเหวี่ยงหักศอกแต่ละที ความรู้สึกแว๊บเข้ามาในหัวเลยค่ะ
ตายแร้วๆ เหวี่ยงแรงขนาดนี้ เราจะหลุดออกไปนอกรางมั้ยนี่
แล้วด้านข้างตัวที่มันมืด ๆ นี่มีเสาหรือกำแพงอะไรรึป่าวนี่ เกิดหัวเหวี่ยงไปโขกสักโป๊กล่ะ
เอ๊ะ แล้วนี่ล็อคเรามันยังสภาพดีอยู่ใช่มั้ยเนี่ย มันยังไม่เสื่อมใช่มั้ย แล้วถ้ามันเกิดมาเสื่อมเอาตอนนี้พอดีล่ะ
อีกสารพัดความคิดค่ะ กรี๊ดกันไป เหวี่ยงกันไป เสียวกันไป กรี๊ดจนคอจะแตก !!


หมดรอบ... หันไปมองคู่ข้างหลัง สภาพพอกันค่ะ หัวเหอยุ่ง หน้าตาเหวอ ๆ ตระหนก ๆ
เดินลงมาจากเครื่องเล่น หันมาคุยกะพี่อ้อถึง อาแป๊ะกะอาม่าที่เราเห็น ป่านนี้จะช็อคตายไปแร้วรึป่าวน๊า
หรือจะหล่นแหม่ะอยู่ในนั้น หรือไปเกิดใหม่แล้วก็ไม่รู้เนอะ

ด้านนอกจะมีเคาน์เตอร์ขายของที่ระลึกค่ะ แล้วก็จะมีภาพถ่ายทุกคนที่อยู่ในสภาพช็อค ๆ คนละ1 ช็อต
เค้าติดกล้องไว้ด้านในค่ะ (รู้งี้นั่งเก๊กหน้าสวยซะก็ดี) เราไม่คิดจะซื้อค่ะเพราะเท่าที่ดู รูปแบบว่า....ทุเรดอ่ะ
ราคาตาม size ค่ะ sizeประมาณครึ่ง A4 ก็ $25 ใหญ่กว่านั้นก็ แพงขึ้นค่ะ









ลั๊นลามาจนถึงโซนที่มีเกมส์ให้ประลองฝีมือค่ะ เป็นเกมส์แข่งม้าโดยที่เราจะต้องนั่งประจำที่เพื่อแข่งกันหยอดบอลลงหลุม มีหลายหลุมด้วยกัน แตกต่างกันตรงแต้ม ถ้าได้แต้มสูง ม้าแข่งตัวของเราก็จะวิ่งเร็วขึ้นค่ะ ใครเข้าเส้นชัยก่อนก็ได้รางวัลเป็นตุ๊กตาที่โชว์อยู่กลับบ้านไป

พี่อ้อเล่นเกมส์แรกชนะได้ตุ๊กตาหมีสีส้มมาค่ะ ได้ใจเลยเล่นอีกเกมส์ แหม มากับดวงค่ะ ชนะอีกรอบ แต่เราไม่อยากได้หมีแบบเดิม คนขายเลยให้ตัวเลือกโดยการ update รางวัลค่ะ เอาหมีสีส้ม2ตัว แลก อูมแปร๋นตัวใหญ่กว่าได้ 1 ตัว

ไม่รอช้าค่ะ จัดการเอามันมาอยู่ในครอบครอง ตอนได้ก็ดีใจค่ะ แต่พอกลับออกมาจาก movie world แล้วนี่สิค่ะ มันคือภาระดีดีนี่เอง ยัดใส่กระเป๋าก็ไม่ได้แร้วด้วย สุดท้าย เหมือนควาญช้างกลาย ๆค่ะ เดินจูงช้างเข้ากรุง ขึ้นรถกลับมาด้วยกัน T T




ดูกำหนดการจะมีพาเหรดรวมดาราการ์ตูนตอน 3โมงครึ่ง ค่ะ จะพลาดได้อย่างไรกันเรา




จบขบวนพาเหรด 4 โมงนิด ๆ แล้วค่ะ ถึงเวลาต้องกลับไปเอาสัมภาระคืนจากที่พักแล้วสิ
ออกมารอรถเมล์ กลับถึงที่พักก่อน 5 โมงนิดหน่อย แวะทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารจีนแถวๆนั้น ก็พอดีได้เวลากลับ
รถโค้ชออก 6.15 มาตรงเวลาอีกเช่นเคยค่ะ


รถโค้ชของที่นี่ และคิดว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ ทั้งโซนยุโรป อเมริกา น่าจะเป็นเหมือนๆกันคือ ห้ามนำอาหารขึ้นไปกินบนรถค่ะ อนุญาตได้อย่างเดียวคือน้ำขวด เค้าเน้นเรื่องความสะอาด กลัวว่าผู้โดยสารจะทำอะไรหกเลอะเทอะ หรือมีกลิ่นรบกวนกันค่ะ ตลอดการทางเดินมีแวะพัก 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีบ้าง 45นาทีบ้าง สถานการณ์บนรถ สงบ เงียบ หลับได้อยู่ค่ะ

ถึง sydney 8 โมงเช้า ก่อนเวลาที่กำหนดไว้นิดหน่อย


ประทับใจกับทริปนี้มากค่ะ พี่อ้อหมายมั่นไว้ก่อนรถจะออกว่า "คริสมาสปีหน้า เจอกันอีกนะ Gold Coast"



Zone : WB Kids
















ไม้กลองที่ได้จาก Hard Rock เมื่อคืนวานค่ะ คู่ละ $25



ขอบคุณที่ติดตามนะคะเพื่อน ๆ
Hope you all follow us for next trip na ja . ^ ^

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Second day @Sursfer paradise

Second day @ Sursfer Paradise


หลังจากหลับมั่ง ไม่หลับมั่ง ตลอดคืน ฝันว่ามีผู้ชายร่างใหญ่เดินมาที่เก้าอี้ที่เรานั่งค่ะ ชะโงกตัวลงมาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แล้วก็เดินจากไปในความมืด สักพัก พี่อ้อสะกิดๆ

พี่อ้อ : next station แล้วนะ ดาร์ลิ้ง เมื่อกี้พนักงานเดินมาบอก
ต้า : อ้าว ไม่ได้ฝันหรอกเหรอ > <

ตามกำหนดการรถไฟ เราจะต้องลงที่สถานี Casino ตอน ตี3.45 เพื่อที่จะต่อรถโค้ชอีก 1.45 ชม ไปที่ Surfers Paradise ส่วนรถไฟขบวนที่เรานั่ง มุ่งหน้าต่อไปยัง Brisbane ค่ะ
จุดมุ่งหมายของเรา Surfers Paradise เป็นหาด ๆ นึงใน Gold Coast เทียบไปก็อารมณ์ประมาณภูเก็ตแต่ว่าดีกว่า
ถึงที่หมายเกือบหกโมงเช้าค่ะ จาก Bus station เดินไปสักสิบนาทีก็ถึงโรงแรม
ตอนหาข้อมูลที่พักจากเน็ต ก็เล็งพวก backpacker ไว้เหมือนกัน แต่ด้วยความที่เราเลือกไปในช่วงเทศกาล ที่พักส่วนใหญ่เต็มเกือบหมด จะว่างก็แต่ห้องที่เป็นห้องน้ำรวม ราคาที่พักก็ up เกินปกติกันเป็นส่วนใหญ่ ทำได้แค่ทำใจค่ะ ก็มันว่างแค่ช่วงนี้อ่ะ ที่พักที่ได้เป็น services apartment ราคาต่อคืน 195 เหรียญ ( เรตเงินปัจจุบันก็คูณ 23 ค่ะ คูณกันเองบ้างค่ะ จะได้ฝึกสมอง)
ราคาถูกกว่านี้ก็มีค่ะ เริ่มตั้งแต่ ไม่ถึงร้อย ไปจนหลักพัน แต่เรารับได้ที่ราคาประมาณนี้ละคะ ที่พักอยู่บนถนนหลักของเมือง
เดินทางสะดวกดีค่ะ ( ถ่ายรูปมาเพียบค่ะ แต่ดันลืมถ่ายที่พัก T T )

โรงแรมที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่จะให้ check in ตอนบ่ายสองโมง และ check out ตอน สิบโมงเช้า
เราก็เลยเมล์แจ้งผู้จัดการที่พักว่าจะไปถึงค่อนข้างเช้ามาก จะขอฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรม ทางผู้จัดการไม่มีปัญหาค่ะ
แต่... ปัญหาคือ เคาน์เตอร์รีเซฟชั่นที่นี่เปิด 7 โมงเช้า ตามกำหนดการเราจะไปถึง 6 โมง ก็คิดกันไว้ว่าไม่เป็นไร แค่ ชั่วโมงเดียว เด๋วเราเดินเล่นหนุงหนิงๆ แถวๆนั้นก็ได้ แต่ของจริงปรากฏว่า ไปถึงยังไม่ 6 โมงดี แถมต้องปรับเวลาให้ช้าลงอีก 1 ชม. เพราะเวลาที่นั่นช้ากว่า sydney
โอ้ แม่เจ้า ทำอะไรกันดีใน 2 ชม.นี้ หนุงหนิงไม่ไหวมั้ง หันไปทางไหน ไม่มีอะไรเปิดเลยค่ะ ตลาดเช้าขายปาท่องโก๋ โอวัลตินแบบบ้านเราก็ไม่มีซะด้วยสิ พลันสายตาหันไปเจอ Mcdonald ค่ะ สองเราเลยไม่รอช้า รีบลากสัมภาระไปสิงสถิตย์กันทันที
7โมง ได้เวลาเอาสัมภาระไปฝาก จากนั้นก็เริ่มกาง map ออกสำรวจแถว ๆที่พักค่ะ เดินแบบงงๆ มึน ๆอยู่พักนึง พอเริ่มคุ้นเคยกับทิศทางแถวนั้นแล้ว เห็นใน map แนะนำ Wax museum หรือพิพิธภัณธ์หุ่นขี้ผึ้งนั่นเองค่ะ งั้น ประเดิมด้วยอันนี้เลยแล้วกัน
ค่าเข้าคนละ 27 เหรียญค่ะ ไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ คนปั้นคงปั้นไว้นานมากแล้ว ฝีมือและพัฒนาการเลยยังไม่เข้าขั้น
สู้ของบ้านเราไม่ได้เลย งานละเอียดกว่ากันเยอะ หุ่นที่โชว์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบุคคลดัง ๆ ในประวัติศาสตร์ รวมไปถึง
มีการบอกเล่าเรื่องราวในอดีตประกอบแต่ละห้อง ผ่านไกด์ฝรั่งสูงวัย (ไม่ค่อยเร้าใจเลยย)


ใน Wax Musuem ค่ะ


กว่าจะได้เข้าห้องพักจริงๆ ก็ร่วม11โมงแล้วค่ะ เพราะต้องรอแขก check out และเคลียร์ห้องก่อน
มื้อเที่ยงของเราวันนี้คือข้าวผัดปูที่เตรียมมาค่ะ เข้าเวฟแล้วหม่ำได้เลย ที่เตรียมมาเยอะเพราะรู้ว่าร้านอาหารที่นี่เปิดสายมาก
ส่วนที่เปิดเช้าหน่อยก็เป็นพวก กาแฟ แซนวิช เบอร์เกอร์ ซึ่งกินบ่อย ๆมันจะเลี่ยนมากเลย สู้อาหารไทยก็ไม่ได้ ถูกปากสุดแล้ว ห้องพักเป็นอพาร์ตเม้นท์แบบ 1 ห้องนอน แยกห้องครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียง ห้องครัวมีอุปกรณ์การทำครัวครบครันค่ะ แค่ออกไปซื้อของสดมาก็ทำกับข้าวกินเองได้สบาย ห้องพักส่วนใหญ่เน้นครัวเพราะปกติเวลาฝรั่งมันเที่ยวกันมันพักกันเป็นอาทิตย์ หรือไม่ก็เป็นเดือนค่ะ คนไทยหัวดำอย่างเรา ๆ คืนเดียวก็หรูแร่ะ เพราะฉะนั้น ครัวใหญ่ครบครันเลยไม่ได้แปดเปื้อน ใช้แค่ไมโครเวฟ อย่างเดียว เครื่องอำนวยความสะดวกอย่างอื่นก็พวก เครื่องซักผ้า อบผ้า เตารีด ก็มีให้ค่ะ
ตอนแรกตั้งใจจะแวะเก็บของแล้วตระเวณเที่ยวเลย เพราะมีเวลาแค่2วัน แต่ไม่ไหวค่ะ การทางเดินที่ยาวนานและแทบไม่ได้หลับ ทำให้เราพร้อมใจกันงีบสักหน่อยก่อน ตื่นมาแล้วค่อยว่ากันอีกที
ฟื้นกันมาอีกที บ่ายแก่ ๆแล้ว อาบน้ำแต่งตัวเรียกความสดชื่นกลับมาได้อีกหน่อย คราวนี้เราตกลงกันว่าจะเที่ยวแถวนี้ก่อนแล้วกัน แล้วพรุ่งนี้ค่อยไป Movie World กะ Sea World จุดหมายหลักที่ตั้งใจไว้


ยังไม่ทันได้ไปไหน หิวอีกรอบแล้วค่ะ คราวนี้งัดเอาเสบียงอันสุดท้าย ข้าวเหนียวเนื้อทอดมารองท้องก่อนมื้อเย็น
มีแหนมฝีมืออุ๊ที่เอาติดมาด้วยเป็นเครื่องเคียง


เราเลือกที่จะไปเดินเล่นที่ Pacific fair เพราะมีรุ่นน้องที่เคยมาเรียนที่นี่แนะนำมา เปิดmapดู หาสายรถเมล์ที่จะผ่าน การเดินทางด้วยรถเมล์ในเมืองที่นี่ไม่ค่อยต่างจาก sydney มากนัก ดังนั้น สะดวกเราค่ะ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจากที่พัก ก็ถึง Pacific fair เป็นเหมือนศูนย์รวมห้างสรรพสินค้า และชอปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่มาไว้รวมกัน คือมาที่เดียวเดินกันทั้งวันได้เลย มีร้านค้าหลากหลายไว้ล่อเงินในกระเป๋าเรา
มาถึงกันได้แป๊บเดียวก็ได้เวลา... ห้างจะปิดแว้วว T T ห้างที่ประเทศนี้ส่วนใหญ่ปิดกัน 5 โมงเย็นค่ะ ทำงานกันแต่พอเพียงจริงๆ
แต่ถึงจะเดินได้แป๊บเดียวพี่อ้อก็ได้ของเล่นมานิดหน่อยค่ะ เป็นไข่ใบใหญ่ที่คนขายบอกว่าพอแช่น้ำ24 ชม. จะมีจรเข้ออกมา แล้วก็ได้ลูกโป่งยางเหนียว ๆ มา 2 ใบ เป็นรูปปลา กับ กบ



เอารูปปลามาลองเป่าดู


นั่งรถเมล์สายเดิมกลับไปแถวที่พัก เดินเล่นแถวๆนั้นล่ะคะ มีร้านค้ามากมาย มีเต๊นท์ขายของริมหาด ร้านอาหาร แบรนด์ชั้นนำ
เดินกันไปพร้อมกับหาร้านที่จะฝากท้องมื้อเย็น เดินจนเริ่มดึกร้านอาหารเริ่มทยอยปิด ท้องก็เริ่มหิว จากที่เริ่มเลือกร้านก็
กลายเป็นร้านไหนก็ได้แร่ะตอนนี้

สุดท้ายก็มีงอนกันเล็กน้อยจากเรื่องหาร้านกินข้าวนี่ละ ก่อนที่จะจบลงที่ร้าน sea food ร้านนี้ค่ะ



พอท้องอิ่มก็เดินเล่นต่อค่ะ ก่อนกลับที่พักแวะไปนั่งชิล ๆ ที่ Hard Rock ได้ไม้กลองมา 2 คู่เป็นของที่ระลึก
ถึงห้องปุ๊บ สลบ หมดแรงค่ะ





Walk street





ตลาดนัดริมหาดตอนกลางคืน ( ภาพนี้คนถ่ายเสี่ยงชีวิตอยู่เกาะกลางถนนค่ะ)




Louis vuittion ค่ะ เห็นจัด Display สวยดี แต่ไม่กล้าเข้าไปในร้านอ่ะคะ กลัวยามจะหาว่าไม่เจียม