วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Winter..ter..ter



อังคาร 29 มิถุนายน 2010


อุณหภูมิวันนี้

สูงสุด 13 องศา

ต่ำสุด -2 องศา


โอย โอยยย หนาว หนาว

ทรมาน ทรมาน ฮีทเตอร์ก็ต้านแทบไม่อยู่

นอนห่อตัวเป็นดักแด้กันเลย

เผลอเอาแขนโผล่ออกมานอกผ้าห่มได้สามวิ รีบหดกลับแทบไม่ทัน




เช้า ๆ เวลาพี่อ้อจะมาเซย์บายที่เตียง ก่อนออกจากบ้าน

ต้องใช้เวลาหากันนิดนึง

พี่อ้อ : โหย ม๋า หาแทบไม่เจอเลย กองผ้าห่มหมกซะแทบมิด




จะล้างจาน จะทำกับข้าวแต่ละที มือไม้กระดิกแทบไม่ออก

นิ้วมันแข็งไปหมด



ออกนอกบ้านในยามเช้า และตกดึก เป็นอะไรที่ทรมานสุด

หนาวตัว เอาเสื้อโค้ทมาใส่

หนาวขา หาถุงเท้ามาใส่

หนาวคอ เอาผ้าพันคอมาใส่

หนาวมือ เอาถุงมือมาใส่

หนาวหัว เอาหมวกมาใส่

หนาวหู ดึงหมวกลงมาคลุม

ยัง ยังเหลือ หนาวจมูก จมูกเย็นเจี๊ยบ ทำไงดี

ใส่ไอ้โม่งเลยดีมั้ย




อากาศหนาว ๆ หาได้หยุดยั้ง Ice cream lover อย่างเราไม่

ยังมุ่งมั่นกินมันทุกฤดู

ซ้ำร้าย พอเริ่มเข้าหน้าหนาว ไม่รู้เป็นยังไง พอดึกดึก

อาการอยากไอติมเริ่มมา

อดรนทนไม่ไหว ต้องซื้อแบบลิตรมาตุนไว้เลย




แล้วตู้เย็นเราก็ไม่ได้ใหญ่โต ช่องฟรีซก็เท่าลูกเพนกวินดิ้นตาย

ความเย็นก็เป็นไปตามไซด์ตู้ เอาไอติมไปแช่ ก็ต้องปรับอุณหภูมิ

เอาแบบ max สุด ๆ ผลที่ได้ ไอติมแค่พอไม่ละลาย

แต่อย่างอื่นในตู้ แข็งเป็นเกล็ดหิมะปกคลุมโดยถ้วนทั่ว



หลัง ๆ พี่อ้อไม่ยอมกินด้วย

กระป๋องนึงซื้อมา กินได้สองหน

ถ้าไม่หนาวตายซะก่อน คงกินหมดได้ในคราวเดียว




เวลากินก็ต้องมีอุปกรณ์

เสื้อกันหนาวพร้อม ฮีทเตอร์พร้อม หู๊ยยย มีความสุข


วันก่อน กำลังนั่งพุงอืดดูหนัง หลังจากหม่ำไอติมเสร็จ

เกือบสี่ทุ่ม ฝ้ายมาเคาะห้อง เอาขาหมูที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ มาให้

หูยยยย ขาหมูร้อน ๆ กลิ่นหอมยั่วยวน

ไข่สอง คากิ คะน้า ผักกาดดอง

อย่ากระนั้นเลย สองสาวไม่รอช้า คว้าอาวุธ

ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่

เราจะตายในชามขาหมูเนี่ยแหล่ะ









............................





ถึง วดี

หากอ่านอยู่ ขอย้ำอีกที ถึงคำถามที่วดีอาจจะยังค้างคาใจ

หน้าหนาว ถึงแม้อากาศจะหนาวสักแค่ไหน

มือไม้จะเย็นจะแข็งเพียงใด


แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับกิจกรรมของเราแต่อย่างใด ฟันเฟริม!!





^ ___ ^

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สละ


เมื่อตอนกลับไทย ได้มีโอกาสแวะไปซื้อของที่หนองมน

ระหว่างกำลังเลือกของในร้านนึงอยู่

สายตาเหลือบก็ไปเห็น





เห็น สละลอยแก้ว ในขวดแก้วใส ขวดละ 120 บาท

โอ้ววววววววววว ดีใจยิ่งกว่าได้เจอโน๊ต อุดม

เพราะว่า เป็นสิ่งที่พี่อ้อชอบและอยากกินมากกกกกก

ไม่ได้กินมานานหลายปี จนแทบจะลืมกลิ่นมันไปแล้ว

เพราะที่โน่นไม่มีขาย





ด้วยความที่ไม่แน่ใจ ว่าจะสามารถเอาเข้าประเทศนี้ได้หรือไม่

เลยเอามาแค่ขวดเดียว ไม่อยากโดนทิ้งต่อหน้าต่อตา

ปรากฏว่า ผ่านฉลุย ไม่มีปัญหา







เปิดกระเป๋ามา หยิบสละลอยแก้วมาอวดพี่อ้อ

พี่อ้อดีใจนักหนา ไม่รอช้า รีบเปิดกินทันที

ละเลียดไปเรื่อย ๆ จนใกล้หมด ก็เหลือติดก้นขวดไว้ห้าหกเม็ด

เก็บไว้ให้ได้ชื่นใจต่อวันหลัง




...............................







กลับมาได้สักอาทิตย์ ต้าไปจ่ายตลาด

ขากลับแวะร้านไทย ซื้อขนมนมเนย

ขณะกำลังเลือกขนมอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็น

สิ่งนึงวางอยู่บนชั้น เอ๊ะ ๆ หน้าตาคุ้น ๆ

อร๊ายยยยยยย สละลอยแก้ววววววววว

ส่งออกมาขายแล้ววววววววว

ดีใจ ดีใจ หยิบกลับมาสองขวด

พี่อ้อต้องดีใจแน่ ๆ เลย




ตอนเย็น พี่อ้อกลับมาบ้าน เรารีบเอาออกมาอวด

พี่อ้อยิ้มแฉ่ง กินหมดสองขวดภายในเวลาอันรวดเร็ว

ต้า : อ้าว ไม่ต้องกินแบบกั๊ก ๆ แล้วเหรอ

พี่อ้อ : ไม่ต้องแล้ว เพราะถ้าหมด ก็ไปซื้อใหม่ได้

ไม่ต้องกลัวหมดอีกต่อไปแล๊ว

เด๋วจะไปซื้อมาสักสิบขวดเล๊ยยย

^__^












ขวดละ $2.50 รสชาติไม่ได้อร่อยเลิศ แต่ก็พอให้หายอยากได้

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

HBD Kitar


อาทิตย์ 13 มิถุนายน 2010




วันนี้ก้นดำของน้า ๆ ป้า ๆ มีอายุครบ 4 ขวบแล้วจ้า

วันเกิดปีนี้ ส่งผลจากภารกิจอันยุ่งเหยิงของแม่อุ๊

ทำให้วันเกิดของก้นดำรวนไปด้วย

แม่อุ๊ไม่ว่างไม่เป็นไร ป้า ๆ ยัง stand byอยู่


วันนี้เราจะพาก้นดำไปเยี่ยมเพื่อนที่ Taronga Zoo

สวนสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซิดนีย์




6.30 am

แม่อุ๊มาส่งก้นดำตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะต้องไปเข้างานตอนเจ็ดโมง

ป้าต้ายังเก็บความอุ่นอยู่ใต้ผ้าห่ม

ส่งป้าอ้อลงไปรับหลานและสมบัติของชี

หอบหิ้วผ้าห่มเน่า ๆ คู่ใจของชีมานอนต่อที่นี่

อากาศเย็นจัด ฟ้ายังหลัว ๆ นอนต่อกันได้อีก



9.10 am

ก้นดำตื่นก่อน แบ็ตเต็ม พร้อมเล่น

ป้าต้าตื่นมาทำมื้อเช้า เราจะหม่ำกันก่อนออกจากบ้าน

แล้วก็ตระเตรียมข้าวเหนียวเนื้อทอดใส่กล่องไปกินกลางวัน

พร้อมด้วยขนมและผลไม้ เผื่อชีหิว

กว่าจะกินข้าว อาบน้ำ แต่งตัว เสร็จพร้อมทั้งสามสาว

ออกจากบ้านกันร่วมสิบเอ็ดโมง

อากาศหนาว แดดแรง มีลมมาให้ขนแขนตั้งเป็นระยะ ๆ

นั่งรถเมล์จากบ้าน ไปลงที่ Circular Quay

แล้วลงเรือต่อไปอีกประมาณสัก 15 นาที
.....
...


วิวสวย แต่สามสาวไม่สามารถไปนั่งโต้ลมบนดาดฟ้าเรือได้

หนาวเกินผิวบาง ๆ จะทานทน






ด้วยความที่ไม่มีอะไรให้ชีทำ ชีเลยม้วนตัวลงนอนซะงั้น




ค่าเข้าของเราสองคน ปกติคนละ 49 ดอลล์

ใช้บัตรนักเรียนลดได้ เหลือคนละ 32 ดอลล์

ส่วนเด็ก ถ้ายังไม่เกิน4ขวบ ฟรี

ก้นดำครบ 4 ขวบวันนี้ แต่ป้าต้าบอกเค้าไปว่า ยังไม่4 ^ ^


ไปถึง Zoo ปุ๊บ ก้นดำร่ำร้องอยากเจอ ยีร๊าฟ กับ แมวน้ำ

ป้า ๆ ต้องบอกว่า เราจะเดินไปตาม map เพราะฉะนั้น

ถ้าเจออันไหนก่อน ก็ทักทายไปก่อนละกัน
....
..



แมวน้ำที่นี่รู้งาน รับแขกสุด ๆ แอ็คท่าให้ถ่ายรูปเป็นชั่วโมง ๆ






เพิ่งจะบ่าย พลังเลยเหลือเฟือ วิ่งปรู๊ดปร๊าด จนได้เรื่อง

สะดุดอีท่าไหนไม่รู้ ล้มลงไปซะงั้น

ลุกขึ้นมาได้ ทำตาแดง ๆ ปากเบะ ๆ น้ำตาเอ่อ ๆ














ช้างไทย ส่งตรงมาจากบ้านเราเลยน๊า

สุขสบายดี พี่น้องไทยไม่ต้องเป็นห่วงจ๊ะ





มีศาลาไทยด้วย











ก้นดำนั่งเฝ้าเต่าอยู่ด้วยความสนอกสนใจ

เจ๊เสื้อดำข้างหลังคงอยากมาชื่นชมบ้าง มองก้นดำตาขวางเชียว





































ก้นดำเดินตามเจ้านกอีมู ไม่สนใจจิงโจ้ที่นอนเค้งเก้งเลย






































































พอเห็นผู้ชาย ก้นดำไม่สนใจป้า ๆ วิ่งไปเล่นกะเค้าเฉยเลย


แล้วสิ่งที่เล่นกันคือ กลิ้งเกลือกไปมาตามสนามหญ้า เพื่อ??











ขากลับ เราเลือกลงด้วยกระเช้าไฟฟ้าแทน













พี่อ้อต้องรวบรวมความกล้าตั้งแต่นิ้วโป้งเท้าขึ้นมาเลย

นั่งนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก ไม่มองอะไรทั้งนั้น

ถามตลอดทางว่า 'ถึงรึยัง ถึงรึยัง'



ก้นดำ ซึ่งปกติจะกระดี๊กระด๊าเวลาขึ้นที่สูง

พอเห็นอาการป้าอ้อ ชีเลยปฏิบัติตาม นอยส์ไปอีกคน

นั่งเกร็งเป็นตุ๊กตาคู่ป้าหลานเลยทีเดียว








ท่าเรือ






ออกจาก Zoo เรามุ่งหน้าสู่ตัวเมือง เพื่อจะไปซื้อของขวัญให้ก้นดำ

ปีนี้ให้ชีเป็นคนเลือกเอง ภายในงบที่กำหนด

เลือกอยู่นาน เพราะไอ้ที่ชีอยากได้ ต้องรอให้ป้ามันเหลือกินเหลือใช้อีกสักหน่อยอ่ะ

สรุปว่าได้สิ่งนี้มา ก่อนที่ป้าทั้งสองจะหิวตาย
...
..



ป้าอ้อเคยซื้อสระน้ำที่ต้องเป่าลมยางอันย่อม ๆ ให้ไปแล้ว

เอาลูกบอลไปใส่เล่นเหมือนในสวนสนุกแทน



ซื้อของเสร็จ ก็ตรงดิ่งไปหม่ำมื้อเย็นกันที่ร้านไทย

สั่งผัดไทยมาให้ชี พร้อมด้วยไก่ทอดตะไคร้

ชีเป็นเด็กชอบกินไก่มากกกกกกกก

ไก่ที่สั่งมา เป็นส่วนปีกบน ชีก็แทะอย่างเมามัน

พอเริ่มแทะอันที่สองอยู่ดีดี ชีชะงักไป

แล้วเอานิ้วป้อม ๆ ไปแคะ ๆ ตรงฟันหน้า

ไอ้เราก็คิดว่า สงสัยไก่ติดฟัน

สักพัก ชีเริ่มงอแง บอกว่าเจ็บ ๆ

ก็เลยให้อ้าปากดู แต่แหม ไฟในร้านก็สลัว ๆ มองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่

แล้วปากเด็ก เล็กนิดนึง ถามชีก็อธิบายไม่ได้ นอกจากบอกว่าเจ็บ

สักพัก น้ำตาร่วงเผาะ ๆ จนโต๊ะข้าง ๆ เริ่มสนใจ ไม่ได้การแร่ะ

ป้าต้าจัดการเงยหน้า อ้าปากชี แล้วลองเอานิ้วแตะ ๆ งัด ๆ ตรงฟันดู

เพราะป้าอ้อเริ่มสันนิษฐานว่า หรือฟันชีจะหัก



ผลปรากฏว่า เศษกระดูกไก่ ใหญ่เกือบเท่าๆ กับฟันชี ติดอยู่ตรงซอกเหงือก

ป้าต้างัดออกมา ชีหายเป็นปลิดทิ้ง

แล้วก็ไม่ยอมแทะไก่อีกเลย


กินเสร็จ ก็เคลื่อนพุงเต่ง ๆ ฝ่าความหนาวกลับบ้าน

รอแม่มารับ


..............................


ถึง ก้นดำของป้า


ผ่านไปอีกหนึ่งปี มาดูสิว่าพัฒนาการด้านมืดของหนูเป็นยังไงกันบ้าง

จากที่แม่และป้า ๆ เคยกังวลใจนักหนา ว่าหนูจะช้ากว่าคนอื่นๆ มั้ย

ถือว่าหนูก็มีพัฒนาการที่ดีและไม่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะ

หนูเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้น เพียงแต่จะแสดงออกมาหรือไม่

ซึ่งบางทีก็แล้วแต่อารมณ์



ก่อนที่จะครบสี่ขวบสัก 3-4เดือน

เป็นเหมือนช่วงลองของ ดื้อมากกกก

ดื้อซะจนบางที อยากจะใส่กล่องส่งกลับบ้าน ทั้งที่เพิ่งมาได้แค่ครึ่งวัน

แต่ความน่ารักน่าเอ็นดูตามประสาเด็กของหนูก็เพิ่มตามมาด้วย

เพราะด้วยความที่พูดกันรู้เรื่อง สื่อสารกันเข้าใจ

ถามอะไรตอบได้ตรงคำถาม ( ไม่ใช่คุยกันคนละเรื่องเหมือนแต่ก่อน )

การกระทำ กิริยา ท่าทาง อุปนิสัย ที่เริ่มเลียนแบบผู้ใหญ่

เริ่มงกและหวงของ ( ซึ่งป้าอ้อมองว่าน่าร๊ากกกกกก และตลกดี )

เช่น ป้าอ้อพาหนูไปเล่นเกมส์หยอดเหรียญ

โดยที่ป้าอ้อจ่ายตังค์เพื่อแลกเหรียญมา

หนูรีบโกยเหรียญทั้งหมดใส่กระเป๋าตัวเอง

แล้วเวลาจะเล่น ก็ค่อยส่งให้ป้าอ้อทีละเหรียญ

มีอีกมากมายหลายสิ่งสำหรับเรื่องหนู ถ้าให้เล่าทั้งหมด

ป้าคงไม่ต้องทำอะไรแล้ว รำลึกกันอย่างเดียวเลย

เอาไว้มีโอกาส เมื่อหนูโตขึ้น ป้าจะทยอยเล่าให้ฟัง ( ถ้าไม่อัลไซเมอร์ซะก่อน )



สี่ขวบแล้ว ป้า ๆ ขอให้หนูมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ

เป็นเด็กดีของป้า ๆ และแม่อุ๊ตลอดไปนะจ๊ะ



Lots of love








วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

HBD อุ๊ จ๊า

ศุกร์ 11 มิถุนายน 2010



วนกลับมาครบรอบอีกครั้งแล้ว

ปีนี้ ทุกสิ่งอย่างผิดแผนไปหมด

ไม่สามารถทำเซอร์ไพรส์ใดใดได้เลยสักอย่างเดียว

แผนแรกพลาดไปแล้ว แผนสอง สาม ก็ยังไม่สำเร็จอีก

เนื่องจากอุ๊ทำงานหามรุ่งหามค่ำ

แถมตารางงานก็ไม่แน่นอน

ทำเอาเราสองคนไม่รู้จะยังไงกันดี

............................


ตามความตั้งใจแรก ( จากการวางแผนของพี่อ้อ )

จากการที่เราต้องกลับไทย พี่อ้อเลยจะให้ไปหาซื้อเสื้อยืด 4 ตัว

ให้เค้าสกรีนคำว่า สุขสันต์ - วันเกิด - อุ๊ - กีตาร์

โดยที่เราจะส่งสองตัว ที่เขียนคำว่า อุ๊ กับ กีตาร์

ไปให้ที่บ้านทางไปรษณีย์ ทำว่าเป็นของขวัญวันเกิด

แล้วจะกำชับไปด้วยว่า ให้อุ๊และก้นดำใส่ในวันเกิดด้วย

แล้วพอถึงวัน เราก็จะใส่ตัวที่เขียนว่า สุขสันต์ กับ วันเกิด ไปหาอุ๊ที่บ้าน

จะได้ยืนเรียงกัน แล้วถ่ายรูปเก็บไว้



แต่... ในความเป็นจริงนั้น

สถานการณ์บ้านเมือง ทำให้เราไม่สามารถไปหาซื้อเสื้อที่พี่อ้อสั่งมาได้

เลยต้องเปลี่ยนแผนจากเดิม แต่ยังคงจะไปเซอร์ไพรส์ที่บ้านอยู่



ตลอดระยะเวลาก่อนจะถึงวันเกิดอุ๊

เราสองคนไม่พูดถึง ไม่ถามไถ่เลยว่าวันเกิดปีนี้ อุ๊จะยังไงกันดี

ปกติจะมีการนัดแนะ ว่าจะไปทำอะไร กินข้าวที่ไหน

ปีนี้ทำให้เหมือนว่าเราลืม ๆ มันไป


...............................


ก่อนถึงวันเกิดสองอาทิตย์ เราตกลงกันว่า

จะไปเซอร์ไพรส์อุ๊ที่บ้านในคืนวันเสาร์ แม้ว่าอุ๊จะไปทำงาน

แต่ตอนเย็นก็น่าจะเลิกงานแล้วกลับบ้านก่อนหกโมง

จะเตรียมกับข้าวกับปลา ไปปาร์ตี้กัน

ในช่วงที่กำลังลังเล ว่าหรือจะไปถือเค้กเซอร์ไพรส์ที่ทำงานตอนอุ๊เลิกงานดี

แล้วค่อยกลับไปบ้านอุ๊พร้อม ๆ กัน

พี่อ้อก็แอบได้ความมาว่า เสาร์ถัดจากวันเกิดอุ๊นั้น

อุ๊มีงานพิเศษ ต้องไปทำต่อในช่วงเย็น กว่าจะเลิกก็สี่ทุ่มนู้นแน่ะ


ว๊า ต้องเปลี่ยนแผนอีกแร่ะ

กลายเป็นว่า คงจัดให้มีปาร์ตี้ที่บ้านกันไม่ได้แล้ว

งั้นเราจะเปลี่ยนไปเจออุ๊วันศุกร์ ตรงวันเกิดเลยละกัน


โดยที่เย็นวันศุกร์ อุ๊จะต้องไปทำงานส่งโฮมที่ร้านแถว Bondi Beach

เราก็จะทำเนียน ๆ ว่าไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านประจำที่อยู่แถวนั้น

แล้วให้อุ๊แวะมาเจอกันหน่อย จะเอาแผ่นหนังที่ดูแล้วไปให้

เราตั้งใจไว้ว่า พออุ๊เดินลงมาจากรถ จะจุดเทียนแล้วถือเค้กรอไว้



แต่... ก็ยังมีอุปสรรคนู้นนี่ มาทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด

สุดท้าย เลยต้องส่งกล่องเค้ก กล่องของขวัญ ให้อุ๊ไปเฉย ๆ

ว๊า ว๊า ไม่สนุกเลย

..............................




ถึง คุณแม่ก้นดำ


31 แล้วนะจ๊ะปีนี้ ( ที่จริงก็ไม่เห็นต่างจากตอน 29 เท่าไหร่เนอะ )

ปีนี้เหมือนว่าชีวิตอุ๊จะมีอะไรให้คิด ให้ตัดสินใจเยอะแยะมากมาย

ทั้งหมดทั้งมวล ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวอุ๊เองสักเท่าไหร่

แต่อย่างน้อย พวกเขาเหล่านั้นก็คือครอบครัว

จะดีจะร้ายยังไง อยากให้อุ๊เข้มแข็งและอดทน

อย่าไปคิดอะไร กังวลอะไรล่วงหน้ามากมายนัก

มันจะทำให้เราจิตตกและอ่อนแอไปซะเปล่า ๆ

สู้เตรียมตัวเตรียมใจ ตั้งหลักพร้อมรับกับทุกสถานการณ์

หากมันเลวร้าย อย่างน้อยเราก็เตรียมพร้อมรับไว้แล้ว

แต่ถ้าไม่สาหัสเกินไปนัก เราก็จะผ่านมันไปได้แบบสบาย ๆ



ในทุกเรื่องร้าย ๆ มันจะต้องมีเรื่องดีแทรกอยู่บ้างแหล่ะ

อย่าพยายามเอาชีวิตตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับใคร ๆ

ไม่อยากให้มองว่าเค้าโชคดีกว่า

เค้าอาจจะทุกข์ในสิ่งที่เราไม่รู้ก็เป็นได้

อย่างน้อย อุ๊ก็มีลูกที่ดี ( ครบ32ล่ะวะ )

มีครอบครัวที่กลมเกลียว มีเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร

มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

แค่สามสี่อย่างนี้ บางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ยังหาไม่ได้เลย

( รู้สึกดีขึ้นมามั้ยเนี่ย )


เอาน่า แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป นะน้องนะ

ยังไงซะ หันกลับมา ก็ยังจะเจอพี่ทั้งสอง คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ

สุขสันต์วันเกิดจ๊ะ


P' oar & P' tar


.............................

ปล. หน้าถัดไป เด๋วจะมาอัพเรื่องวันเกิดลูกสาวก้นดำๆนะจ๊ะ

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Back to you

อาทิตย์ 23 พฤษภาคม 2010



เจ็ดโมงกว่า ๆ กลับมาสู่สนามบิน Kingford Smith อีกครั้ง

นัดแนะกับพี่อ้อไว้ว่า น่าจะโผล่ออกมาตรงgate ประมาณสักแปดโมงครึ่ง

เอาเข้าจริง ๆ ก็ late นิดหน่อย

เพราะกว่าจะหลุดออกมาจากด้านในได้ ใช้เวลานานพอดู

รอคิวตรวจคนเข้าเมืองนาน คนเยอะเชียว

พอเรา late ทุกอย่างเลยผิดแผน

เพราะพี่อ้อตั้งใจทำป้ายมาชูรอรับเรา

แต่ด้วยความที่เลยเวลา ยังไม่ออกมาสักที

พี่อ้อเลยกระวนกระวาย เดินไปเดินมา

เลยทำให้คลาดกัน ไม่เห็นตอนที่ต้าเดินออกมา

ต้าออกมาแล้ว เดินวนไปมา เห็นหลังพี่อ้อไวๆ เลยตะโกนเรียก

จบ หมดกัน ป้ายที่พี่อ้อเตรียมมา

เขียนด้วยลายมือภาษาไทยว่า 'มารับหมา'

เลยไม่ได้ใช้ ม้วนทิ้งลงถังไป


...............................



ออกจากเมืองไทย อุณหภูมิเดือด ร้อนตับจะหลุด

มาถึงที่นี่ กำลังจะ winter ในอีกไม่กี่วัน

อุณหภูมิสิบองศากว่าๆ ปรับตัวแทบไม่ทัน




คราวนี้ ต้ากลับไทยไป 15 วัน

พี่อ้อน้ำหนักหายไป 2กิโล

ไม่ค่อยได้กิน แถมนอนไม่ค่อยหลับ



พอต้ากลับมาปุ๊บ พี่อ้อกินไม่หยุดปากเลย

แถมหลับสบายไร้กังวลอีกตะหาก

ผ่านไปไม่กี่วัน กลับมาอวบคุณภาพ... เหมือนเดิม

ฝ่าวิกฤติเคอร์ฟิว


พฤหัสฯ 20 พฤษภาคม 2010



ตื่นมาตามติดสถานการณ์ตั้งแต่เช้า

โดนทิ้งอยู่ห้องคนเดียว

เพื่อนกับแฟนเพื่อน ขับรถหนีออกต่างจังหวัดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

อาบน้ำ แต่งตัว แล้วนั่งเฝ้าหน้าจอ รอว่า วันนี้ เราจะไปไหน ทำอะไรได้บ้าง




เกือบ ๆ เที่ยง ได้รับคำตอบให้ได้ชื่นใจว่า

ไหน ๆ ในกรุงเทพก็ไม่มีที่ให้เราเดินให้เรากินแล้ว

ออกต่างจังหวัดกันเลยดีกว่า...

เย๊ ในที่สุดก็มีที่ให้เราไป



ส่งพี่จุ๊บไปเป็นด่านหน้า เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเพื่อน ๆดู

ไม่นานเกินรอ ได้รับคำตอบว่า แต่งตัวรอเลย เด๋วเจอกัน

( โถพี่ค่ะ หนูพร้อมออกจากบ้านตั้งนานแล้วค๊า )


...............................



บ่ายสองโดยประมาณ




5 ชีวิต ก็ลี้ภัยการเมือง ไปนั่งแทะปูอยู่ริมหาดบางแสน

ชิล ๆ กันจนเย็น ก็เคลื่อนขบวนกลับ

เพื่อที่จะได้ถึงนิวาศสถานภายในเวลาที่กำหนด

แหม แต่ละคน ได้ใจไปเต็ม ๆ เลย

เคอร์ฟิว ก็ เคอร์ฟิวเหอะ































ส่งมอบของขวัญวันเกิดให้พี่จุ๊บล่วงหน้า




...............................



ศุกร์ 21 พฤษภาคม 2010



ช่วงเช้า นัดเจอเพื่อนเก่า สองรายด้วยกัน

เสี่ยงขับรถไปแถวฝั่งธน เผื่อว่าห้างจะเปิด

แล้วก็ไม่ผิดหวัง ได้เดินเซ็นทรัล ปิ่นเกล้าด๊วย

หาซื้อของเพิ่มมาได้อีกนิดหน่อย


...............................



ห้าโมงเย็น ได้เวลาพี่จุ๊บมารับ

ตามแผนแรก วันนี้เราจะไปเฮฮากันที่คาราโอเกะ ผักสดหมูอร่อย

ตามที่คุณตั๊กบอกไว้

แต่.. ด้วยเหตุบ้านการเมือง ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผน

กลายเป็นไปปาร์ตี้ชุดนอนกันที่บ้านพี่จุ๊บแทน

ไม่ให้กลับเกินสามทุ่ม ก็ไม่ต้องกลับ ค้างกันไปเลย

พี่จุ๊บ Happy py

คุณตั๊ก Violet ladybird และ คุณคนดี

น้องว ดี หรือ Mandi

เพื่อนเป็ด Ducky

Patty July และ ครูแอน

น้องบีหมวย และน้องฝน สมาชิกแกงค์ลูกหมูของคุณตั๊ก


รวบรวมสมาชิกได้ทั้งสิ้น 10 คนพอดี

หาได้มีใครหวั่นต่อสถานการณ์ไม่

Patty บอกว่า 'ตาต้าไม่ได้มาบ่อย ๆ และเคอร์ฟิวก็ไม่ได้มีบ่อย ๆ เช่นกัน'

ควรภูมิใจดีมั้ย??






ขอขอบคุณสมาชิกทั้งหมดที่มาร่วมสร้างความสนุกสนานนะจ๊ะ

โดยเฉพาะน้องวดีที่รีบบึ่งรถมาจากบางปะกง ทันเวลาสามทุ่มพอดีเป๊ะ

แถมตอนเช้า ยังต้องรีบบึ่งกลับไปทำงานอีก น่ายกย่องยิ่งนัก

ส่วนสมาชิกที่เหลือก็พักผ่อนกันไป เพราะกว่าจะได้นอนก็จะเช้าอยู่แร่ะ








...............................




เสาร์ 22 พฤษภาคม 2010



บ่ายวันนี้ 8 ชีวิต ไปฝากท้องมื้อแรกกันที่วิลล่าอารีย์

(น้องวดีและducky ขอกลับไปก่อนแล้ว)


ก๋วยเตี๋ยวหน้าคลัง แล้วไปต่อกันที่เค้ก after you

ร้านที่ปล่อยให้คุณตั๊กลงรูปยั่วในบล็อกอยู่นาน ได้กินซะที

ยกให้ shibuya honey toast เป็นที่หนึ่งในใจ



บ่ายสองกว่า ๆ ได้เวลาแยกย้ายจากคุณตั๊ก คุณนก น้องบีและน้องฝน

พี่จุ๊บ patty และครูแอน จะไปส่งเราที่สนามบิน

มีducky และเพื่อนเก่าอีกสองคนตามไปสมทบ



...............................




ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับมิตรภาพดีดีที่มีให้กันนะจ๊ะ

'เพื่อน' มักจะทำให้ความรู้สึกดีดีเกิดขึ้นได้เสมอ ๆ

เจอกันอีกที ปีหน้าเน้อ





วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภารกิจสุดท้าย

ชักจะดองเรื่องเล่านานไปแร่ะ เอาเป็นรวบรัดตัดความเลยดีกว่า


เสาร์ 15 พฤษภาคม 2010



อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องทำคือเรื่องรั้ว

มีเนื้อที่เล็ก ๆ ที่เห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะทำรั้วแสดงความเป็นเจ้าของซะ

เพื่อความปลอดภัยในทรัพย์สิน

จัดแจงนัดช่างไปดูสถานที่เพื่อคำนวณจำนวนเสาที่ต้องใช้ทำรั้ว

ตกลงราคา และวันจบงาน แล้วฝากให้น้องชายรับงานต่อ

..............................



อาทิตย์ 16 พฤษภาคม 2010



วันนี้นัดลุงกับน้องชายมาคุยพร้อม ๆ กันที่บ้านอาม่า

กับหลาย ๆสิ่งที่เราต้องจัดการหลังจากที่แม่ไม่อยู่แล้ว

ปัญหาต่าง ๆ ที่รอการแก้ไข

บางสิ่งบางอย่างที่เราต้องตัดสินใจ

และอนาคตที่มันควรจะดำเนินต่อไป

หวังว่าการตัดสินใจในทุก ๆ เรื่องของเรา จะเป็นผลดีกับทุก ๆ ฝ่าย


...............................



จันทร์ 17 พฤษภาคม 2010



ออกจากบ้านไปถึงกรมที่ดินส่วนย่อยตั้งแต่ยังไม่เปิดทำการ

กะไปถึงเป็นคิวแรกๆ เลย

10.45 จบสิ้นภารกิจสำหรับกรมที่ดิน

ช้ากว่าที่ควรจะเป็น มีเหตุให้ติดขัดนิดหน่อย แต่พอให้อภัย



ออกจากกรมที่ดิน รีบบึ่งไปติดต่อธนาคารอีกสองสามแห่ง

กะจะให้ทุกสิ่งเสร็จสิ้นภายในวันนี้

ที่แรกกับที่ที่สอง ผ่านไปได้ด้วยดี

ที่สุดท้าย สงสัยเจอช่วงเที่ยง เลยเจอพนักงานลีลานิดหน่อย

เราเลยต้องเหวี่ยงใส่กลับไปนิดนึง เบา ๆ


บ่ายสอง จบสิ้นภารกิจ เย๊

รีบเข้าเน็ต จองตั๋วกลับกรุงเทพในทันใด


...............................



อังคาร 18 พฤษภาคม 2010



11.15 อำลาสนามบินหาดใหญ่ by nokair

12.40 ถึงกรุงเทพอีกครั้ง

นั่งแท็กซี่ผ่านถนนวิภาวดี เจอรั้วลวดหนามพร้อมทหารถือปืน

เคยเห็นแต่ที่ปัตตานี มาเห็นในกรุงเทพ หึ หึ ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาดีแท้



บ่ายสามโมงกว่า ถึงบ้านแม่พี่อ้อ

ส่งสัมภาระที่พี่อ้อมอบหมายมาให้เรียบร้อย

นั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ ออกจากบ้านแม่อีกทีเกือบทุ่ม



สองทุ่มกว่า ถึงห้องเพื่อนแบบทุลักทุเล

ด้วยที่เราไม่คุ้นทาง คนขับแท็กซี่ก็มือใหม่

เลี้ยววนไปมาอยู่ในซอยรัชดา32

ขนาดโทรคุยให้เพื่อนบอกทางเลี้ยวซ้ายขวา ยังหลง!!

เพื่อนบอกซอยปราบเซียน ตอนมาอยู่แรก ๆ ก็งงอยู่นาน

สุดท้าย บอกแท็กซี่ให้จอดเถอะ เด๋วให้เพื่อนออกมารับ

ก่อนที่จะงงกันไปมากกว่านี้


...............................



19 พฤษภาคม 2010



วันนี้มีนัดเจอกับพี่ที่รู้จักกันผ่านตัวอักษรจากโลกไซเบอร์

พี่จุ๊บ Happy py

นัดแนะกันว่าจะไปเซอร์ไพรส์คุณตั๊ก Violet ladybird ที่ออฟฟิต

บ่ายโมงนิด ๆ จอดรถหน้าออฟฟิตคุณตั๊ก

เจอคุณตั๊กยิ้มสวยต้อนรับมาแต่ไกล

กะจะไปเซอร์ไพรส์ แต่เจอเซอร์ไพรส์กว่า

เพราะตอนเย็นหลังเลิกงาน คุณตั๊กไม่ว่าง

มีงานที่โซฟิเทล แถมยังเกณฑ์คุณนกไปร่วมด้วย

ไอ้ที่คิดไว้ว่าจะไปทานมื้อเย็นกันเลยล่ม

ระหว่างที่ยังไม่รู้จะไปไหนต่อดี เนื่องจากสถานการณ์ไม่ปกติ

คุณตั๊กก็คอยเช็คข่าวให้อยู่เรื่อย ๆ

พี่จุ๊บ สารถีกิติมศักดิ์ เลยพาเราไปซื้อของที่อยากได้

ได้ของมานิดหน่อย ก่อนที่จะต้องรีบแยกย้าย เพราะเจอ curfew

เฮ้อ!! กลับมาไทยทั้งที แจ็คพ็อตจริง ๆ เล๊ย

................................


วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภารกิจที่ 2

หลังจากได้เอกสารจากทางศาลมาเรียบร้อยแล้ว

เราก็มุ่งหน้ากลับหาดใหญ่ เพื่อทำภารกิจที่ 2

กู๋แวะทำธุระในตัวเมืองนิดหน่อย




บ่ายสามโมง ถึงสำนักงานที่ดิน

เปิดประตูผั๊วะเข้าไป โอ้ววววว ประชากรล้นหลาม

นั่งรอกันเต็มสองฟากฝั่ง

เข้าไปติดต่อเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แจ้งความประสงค์

พร้อมกับรับบัตรคิว


หลังจากชี้แจงเอกสารของเราไปแล้ว ได้ความว่า

เอกสารบางส่วนไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักงานที่ดินที่นี่

แบ่งตามพื้นที่แล้ว เราต้องไปติดต่อสำนักงานส่วนย่อยอีกที่นึงด้วย

เฮ้อ นึกว่าจะจบภารกิจที่ 2 ที่นี่ซะอีก


เจ้าหน้าที่ให้ไปถ่ายสำเนาเอกสาร

นับเป็นความซวยอีก ที่เครื่องถ่ายที่นี่ดันเสีย

ละแวกนี้ไม่มีแม้แต่ร้านเดียวที่รับถ่าย

สรุปว่าต้องขับรถออกไปอีกเป็นกิโลกว่าจะเจอ


บ่ายสามโมงครึ่ง กลับมาอีกครั้ง ยังคงไม่ถึงคิวเรา นั่งรอต่อไป



สี่โมงห้านาที ถึงคิวเราแล้ว

จัดการยื่นเอกสาร แจ้งความประสงค์

แล้วก็รอให้เจ้าหน้าที่สูงวัยที่รับเรื่องเราทำงานไป



สี่โมงครึ่ง ได้เวลาเลิกงาน แต่ยังคงมีผู้มาติดต่อหลงเหลืออยู่

เจ้าหน้าที่ก็ยังทำงานกันต่อไปอย่างแข็งขัน

เราเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่ไปว่า ถ้าได้เวลาเลิกงานแล้ว

แต่ยังมีคนหลงเหลืออยู่ ทำยังไงคะ

เจ้าหน้าที่บอกว่า ก็ต้องเคลียร์ให้หมดค่ะ แม้จะเลยเวลาก็ตาม

(ทำงานล่วงเวลาที่นี่ ไม่ได้ตังค์โอทีด้วยนะเออ)



สี่โมงสี่สิบห้า เจ้าหน้าที่การเงินเดินมาบอกว่าจะปิดเคาน์เตอร์แล้ว

เจ้าหน้าที่คนที่รับเรื่องเรา รีบร้องบอกว่าเหลืออีกรายนึง รอหน่อย ๆ

ตอนแรกเค้าก็บอกว่า ถ้าเสร็จไม่ทันจริง ๆ น้องมารับเอกสารวันจันทร์นะ

เราก็เลยร้องขอความเห็นใจว่าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ จำเป็นต้องรีบมา รีบไป

เจ้าหน้าที่ก็น่ารักมาก เห็นอกเห็นใจ และทำหน้าที่กันต่อไป



ห้าโมงสิบนาที เจ้าหน้าที่คนเดิมยังคงเร่งมือยิก ๆ

หันซ้าย แลขวา มีเพียงเราเหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย

เจ้าหน้าที่บางคน ทยอยกลับบ้านกันแล้ว

หลงเหลืออยู่เพียงสองสามคนยังเคลียร์งานกันอยู่


มีผู้หญิงคนนึง แต่งตัวดูดี อายุน่าจะสี่สิบหน่อย ๆ

เดินออกมาจากห้องกระจก หน้าห้องติดว่า ผู้อำนวยการ

เดินมาหยุดอยู่ที่เรา แล้วถามไถ่ด้วยความยิ้มแย้ม

ผอ.บอกว่า เห็นยืนรออยู่นานแล้ว ไม่สบายใจ ทำไมถึงรอนาน

เราก็เลยบอก ผอ. ไปว่า เจ้าหน้าที่เค้าก็เร่งทำให้เต็มที่แล้วคะ

เรายืนดูก็เห็นอยู่ ไม่เป็นไร เกรงใจมากกว่า เลยเวลาเลิกงานมานานแล้ว

ผอ. บอกว่า ดีใจจังคะ ที่มีคนเข้าใจ

(เผอิญคงเป็นเพราะเจอหน่วยงานที่ห่วยมาก่อนหน่ะคะ อันนี้เลยชิล ๆ )


เลยเล่าเรื่องที่ไปติดต่อศาลให้ผอ.ฟังคร่าว ๆ

ผอ.บอกว่า หลัง ๆ นี่ ทำงานภายใต้ความกดดัน

เพราะหากทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกใจ ชาวบ้านก็ร้องเรียนได้



ห้าโมงยี่สิบนาที เสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้ ทั้งเราและเจ้าหน้าที่

ทีนี้ก็ต้องรอวันจันทร์ เพื่อไปติดต่อสำนักงานเขตอีกที่นึง

หวังให้เจอพนักงานดีดีเหมือนที่นี่เน้อ


.................................



ระยะทางไปกลับร่วมร้อยกิโลฯ

มีเวลาพอสมควรให้ได้คุยกันในรถระหว่างการเดินทาง

บางครั้งระยะห่างของวัย ความแตกต่างของประสบการณ์

สภาพแวดล้อมทางสังคม การเจริญเติบโตด้วยวิถีชีวิตที่ต่างกัน

ทำให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด

เราเป็นเด็ก หากพยายามอธิบาย บางทีก็ดูเหมือนว่าเราเถียงและดื้อ

เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดล้วนมาจากความห่วงใยและหวังดี

จนบางทีก็เริ่มเหนื่อยที่จะอธิบาย ก็รับฟังอย่างเงียบ ๆ ไปน่าจะดีกว่า

...............................

จบสิ้นกันที ภารกิจที่ 1

ศุกร์ 14 พฤษภาคม 2010



8.45 โทรไปทวงถามตามสัญญา ที่บอกว่าน่าจะได้เรื่องวันนี้

ตื๊ด........ตื๊ด ไม่รับ


9.00 เอาใหม่

ตื๊ด........ตื๊ด ยังคงไม่รับ


ไม่ไหว ใจมันร้อนรน ไปถามถึงที่เลยละกัน

บอกอาม่าไปว่า จะไปศาลสงขลา โทรไปแล้วเค้าไม่รับ

กำลังจะออกจากรั้วบ้าน เจอหยี่กู๋ (น้องชายคนที่สองของแม่) ถามว่าจะไปไหน

พอบอกไป กู๋บอกว่ารอแป๊บนึง เด๋วไปส่ง พอดีมีธุระที่สงขลาด้วย

จะไปทำเรื่องย้ายชื่อคนงานเข้าออก เย๊ ไม่ต้องนั่งรถไปเอง

27 กิโลฯ จากบ้านอาม่าไปหาดใหญ่

อีก 26 กิโลฯ จากหาดใหญ่ไปสงขลา


10 โมงครึ่ง ถึงหน้าศาลสงขลา กู๋ส่งให้ลง

แล้วแยกไปทำธุระที่ศาลากลางจังหวัด ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน

รีบเดินขึ้นไปหน้าห้องที่เคยนัด

เจอตัวแล้ว กำลังมีการพิจารณาคดีกันอยู่ คดีโกงอะไรกันสักอย่าง

เลยนั่งรอหน้าห้อง


11 โมงแล้ว 11โมงครึ่งก็แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ

ระหว่างที่นั่งรอ ห้องพิจารณาห้องถัดไป กำลังจะมีการว่าความ

เห็นคนเข้าไปเต็มห้อง สักพักตำรวจพานักโทษร่วมสิบคนเดินขึ้นมา

แต่ละคนดูน่ากลัวเชียว เดินลากตรวนตาม ๆ กันมา

เราซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น พยายามทำตัวให้ลีบที่สุด

เคยเห็นแต่ในทีวี มาเจอของจริงมันแปลก ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

เที่ยงสิบห้า โทรไปหากู๋ กู๋เสร็จธุระแล้ว จอดรออยู่หน้าศาล

เกรงใจ เลยบอกให้กู๋กลับไปก่อนก็ได้

กู๋บอกไม่เป็นไร บ่ายนี้ไม่มีธุระแล้ว เด๋วรอ


เที่ยงครึ่ง ผู้พิพากษา ทนาย ออกไปจากห้องแล้ว

เรารีบเข้าไปหาบัลลังก์สาว

ต้า : เรียบร้อยมั้ยค่ะพี่

หน้าบัลลังก์ : ท่านยังไม่ได้เซ็นเลย ทำไมไม่โทรมาถามก่อนล่ะ

ต้า : โทรมาตั้งหลายรอบ พี่ไม่เห็นรับ

หน้าบัลลังก์ : อ้าวเหรอ สงสัยไม่ได้ยิน

ต้า : แล้วจะได้วันนี้มั้ยค่ะ

หน้าบัลลังก์ : วันนี้แหล่ะ แต่ เด๋วพี่ขอไปกินข้าวก่อนนะ เพื่อนรออยู่

ต้า : แล้วจะให้มารับเอกสารได้กี่โมงค่ะ จะได้ไปยื่นเรื่องที่อื่นได้อีกในวันนี้

หน้าบัลลังก์ : เด๋วต้องเตรียมเอกสารก่อนนะ

ต้องถ่ายสำเนาด้วย นี่คนถ่ายก็ไปพักเที่ยงแล้ว

ระหว่างที่คุยไป ก็เดินลงชั้นล่างไปด้วย เพื่อจะไปที่ห้องทำงาน

เจอเพื่อนของบัลลังก์สาว รอชีอยู่

พอเพื่อนรู้ว่าเรามารอเอกสาร ชีก็บอกบัลลังก์สาวว่า

ให้เค้ามาใหม่วันอื่นสิ

โอ๊วววว ยัยนี่ ไม่พูดซะก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ


ระหว่างที่รอพักเที่ยง เรากับกู๋ ก็เลยไปแวะหามื้อเที่ยงกินกัน


บ่ายโมงสิบห้า เรากลับมาหาบัลลังก์สาวอีกครั้ง

ไปยืนรอหน้าคอกกระจก

ชีรื้อเอกสารบนโต๊ะ พร้อมกับเงยหน้ามองมาทางเรา

อ่านปากได้ว่า หาไม่เจอ

สักพัก เจอแฟ้มของเรา ชีเอาเอกสารออกมาจัดชุด ประทับตราโน่นนี่

แล้วเดินไปถ่ายเอกสาร

โอ้ - มาย - ก๊อด เพิ่งจะมาทำเอกสารหรือนี่

นี่ชั้นให้ค่าน้ำชาไปเพื่อ??


บ่ายโมงครึ่ง เอกสารพร้อม แต่คนเซ็นไม่พร้อม

ท่านที่มีอำนาจในการเซ็นยังไม่กลับจากมื้อกลางวัน


บ่ายโมง สี่สิบ

ท่านเดินอาด ๆ เปิดประตูเข้าไปในห้อง

เห็นบัลลังก์สาวเดินเอาแฟ้มไปให้เซ็น

ไม่ถึงนาทีสำหรับขั้นตอนการเซ็นเอกสาร


บ่ายโมงสี่สิบห้า เอกสารที่รอคอยมาอยู่ในมือเราเรียบร้อย

จบสิ้นกันซะทีสำหรับการติดต่อที่นี่

เฮ้ออออ เหนื่อยใจ

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภารกิจ1 ภาค 2

อังคาร 11 พฤษภาคม 2010




6.30 ตื่นแล้ว ล้างหน้า แปรงฟัน บิดจักรยานไฟฟ้าออกไปตลาด

ตลาดขนาดย่อม ๆ ผู้คนคึกคัก อาหารท้องถิ่นที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก

ขนม ผลไม้ ที่ไม่ได้กินมานาน อยากซื้อมันทั้งตลาดเลย ฮึ่ม ฮึ่ม

ใส่บาตรเสร็จ ก็ซื้อผลไม้ ขนมนมเนย แล้วบิดกลับบ้าน

กิจกรรมของวันนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั่ง ๆ นอน ๆ แล้วก็กิน


................................




ทุ่มนึง รถน้าสาวเลี้ยวเข้ามาในรั้วบ้าน

อาม่ากลับมาแว๊วววววววววว

อาม่าบอกว่า พอรู้ว่าหลานมา ก็เลยรีบกลับ เพราะรู้ว่าเข้าห้องไม่ได้

แต่แว่ว ๆ มาว่า เพราะเสื้อผ้าที่เตรียมไปใส่จนหมด เลยต้องกลับ (มิใช่รึ)

สบายแล้วเราคืนนี้ ไม่ต้องนอนร้อน ๆ อยู่นอกห้องอีกต่อไป




...............................




พุธ 12 พฤษภาคม 2010


เที่ยงกว่า ตัดสินใจโทรไปหาบัลลังก์สาวเพื่อตามเรื่อง

ได้คำตอบกลับมาว่า ท่านยังไม่ได้เซ็น น่าจะได้วันศุกร์

เฮ้อ รอต่อไป


ช่วงเย็น อี้แก๋วชวนไปเดินแก้เซ็งในสวน

เห็นขนุนลูกโต ตกอยู่ใต้ต้น ว๊าว ๆๆ มีอะไรทำแล้วเรา

อุ้มขนุนกลับมาตัดแบ่ง ให้คนงานเสี้ยวนึง ให้น้าข้างบ้านเสี้ยวนึง

ที่เหลือก็แกะกินกันเอง

นอกจากได้ขนุนกลับมาแล้ว ยังได้ตุ่มแดง ๆ เม็ดเป้ง ๆ จากยุงกลับมาด้วย




...............................




พฤหัสบดี 13 พฤษภาคม 2010


พืชมงคล

หลังจากดูพระโคเลือกกินไปแล้ว

เราก็ไปหาอะไรกินบ้าง

อากาศประเทศชาติ ร้อนสะใจจริง ๆ

ยิ่งบ่ายยิ่งร้อน ร้อน ๆ แบบนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่า

หลบเข้าห้องไปนอนตากแอร์ดีฝ่า

ดูรายการทีวีไป สลับกับดูวิกฤตประเทศไป

เฮ้อ เครียด


...............................


บ่ายแก่ ๆ มีรถขายไอติมกะทิผ่านมา น้าสาวกวักมือเรียกไว้

ทั้งยาย ทั้งหลาน รีบเดินออกมาตามเสียงกระดิ่งรถไอติม

เป็นไอติมถังสแตนเลสกลม ๆ แบบที่เราไม่ได้เห็นมานานแล้ว

มีแบบตักใส่กรวย กับ ขนมปัง

เครื่องเคียงก็มีข้าวเหนียว ลูกชิด ถั่วลิสง นมตราเหยี่ยว

อาม่าตะโกนถามคนขายว่า "อาหร่อยอ่ะป่าว"

โถ อาม่า ใครจะตอบว่าไม่อร่อยหรอก อย่ากินเลย

อาม่าบอกคนขายหนุ่มว่า วันก่อนมีเจ้านึงมาขาย ไม่อร่อย

หวานอย่างเดียว ไม่หอม ไม่มัน


เราเลือกใส่กรวยเหมือนอาม่า

ไม่รู้ว่าเราโตขึ้น หรือขนาดมันลดลง

มีความรู้สึกว่า ขนาดและปริมาณของทุกอย่าง มันจุ๋มจิ๋มไปหมด

กรวยบาง ๆ กัดสองคำหมด ใส่ไอติมกะทิขนาดเท่าลูกชิ้นได้ 3 ลูก

อันละ 5 บาท ถ้าเป็นใส่ขนมปังแผ่นบาง ๆ นั้นก็ 10 บาท

ระหว่างที่เรารอคนขายตักของเราอยู่ อาม่าซึ่งได้ของตัวเองไปหม่ำแล้วนั้น

ก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน แล้วออกมาใหม่

พร้อมกับแก้วสแตนเลสเล็ก ๆ หนึ่งใบ

ได้ความว่า อาม่าถูกใจรสชาติไอติม เลยจะซื้อเก็บไว้กินอีก

อาม่า : ใส่ให้เต็มแก้วเลยนา เอาถั่วโรยหน้าด้วย

เหลือบไปเห็นพ่อหนุ่มคนขายแอบอมยิ้มน้อย ๆ

ขายเรากะอาม่าเสร็จ ก็ยังขายให้คนงานได้อีกนิดหน่อย


...............................


3 ทุ่มกว่า


นอนดูทีวี รออาม่าอยู่ในห้อง

อาม่าไปงานศพของอาแปะแถว ๆ บ้าน


4 ทุ่ม


ได้ยินเสียงอาม่ากลับมาแล้ว


4 ทุ่มนิดๆ


เอ๊ะ ทำไมยังไม่เข้ามาในห้อง

เลยเดินออกไปดู

เห็นตั่วกู๋นั่งดูทีวีอยู่คนเดียว เลยถามหาอาม่า

ตั่วกู๋ชี้ไปในครัว

ภาพที่เห็นคือ อาม่านั่งกินไอติมจากแก้วสแตนเลสที่ซื้อไว้เมื่อบ่าย

ต้า : อาม่า โห นึกว่าลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าซื้อตุนไว้

อาม่าตอบเสียงใสว่า ไม่ลื๊ม แล้วก็ตักใส่ปากต่อไป

แลดูสบายอารมณ์จริ๊ง อาม่าชั้น

คนแก่ ยิ่งแก่ ก็ยิ่งเหมือนเด็กเนอะ


...............................

.

.

.






ถ่ายกับอาม่า เมื่อสักห้าปีที่แล้วได้



วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภารกิจ1 ภาค 1

เสาร์ 8 พฤษภาคม 2010


5 โมง @ Kingford Smith Airport

เสร็จธุระที่เคาน์เตอร์ Emirates ภายใน 5 นาที

รวดเร็วเพราะเรา Check in online มาแล้ว

แค่โหลดกระเป๋า รับ boarding card เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

boarding time 6 โมงตรง ยังมีเวลาเหลือเฟือ

ไปแวะหาอะไรกินกันแบบชิล ๆ



6 โมง ยืนร่ำลากันอยู่หน้า Gate

คนมาส่งดูเศร้า ๆ แต่ยังตาใส

คนจะไปตาแดงๆ ร้องนำไปก่อนแล้ว

6 โมง 15 ต้องไปแล้วล่ะ

พี่อ้อยืนส่งจนลับสายตา

...............................



ล้อแตะรันเวย์สุวรรณภูมิ ตี 1พอดิบพอดี ตามเวลาประเทศไทย

1.40 ออกมาเจอเพื่อนที่จุดนัดพบตามเวลาที่คาดเดาไว้

ยืมโทรศัพท์เพื่อนส่ง sms หาพี่อ้อ ว่าถึงแล้วโดยสวัสดิภาพ

ตีสามของวันใหม่ ได้เวลาเข้านอน

...................................




อาทิตย์ 9 พฤษภาคม 2010



6.30 เราตื่นแล้ว แต่เพื่อนยังไม่ตื่น อืมม หลับต่อละกัน

7.30 เพื่อนตื่น เราตื่นด้วย

เพื่อนเปิดโทรศัพท์ปุ๊บ พี่อ้อโทรเข้ามาปั๊บ

ได้ความว่า sms ที่เราส่งไปนั้น มันไปไม่ถึง

พี่อ้อเลยกระสับกระส่าย ไม่ได้นอนเลยทั้งคืน

ตื่นเช้ามา โทรหาเพื่อนเราก็ไม่ติด รีบเปิดทีวี เปิดเน็ต เช็คข่าว

พี่อ้อสารภาพภายหลังว่า นาทีนั้น ความคิดนึงแว๊บเข้ามาในหัว

คิดไปว่า 'หากวันนั้นเราไม่มีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก

พี่รู้สึกว่า พี่ยังไม่ได้ดูแลต้าให้มากพอเลย ถ้าไม่มีต้าแล้วพี่จะอยู่ต่อไปยังไง'

(หวานซ๊า แต่เอ.. พอได้กลับมาเจอกันจริง ๆแล้ว มันมากขึ้นตรงไหนหว่า )

................................



จันทร์ 10 พฤษภาคม 2010



ตี 5.10 นาที เราและเพื่อนทนายสาว (หล่อ) พร้อมออกเดินทาง

ตี 5.45 นาที ถึงสนามบินสุวรรณภูมิอีกครั้ง

check-in เรียบร้อย รอเครื่องออกตอน 6.30

.................................


7.50 ถึงสนามบินหาดใหญ่โดยสวัสดิภาพ

จัดการหาอะไรใส่ท้องในมื้อเช้า

ทำธุระในตัวเมืองจนเกือบเที่ยง

แล้วเตรียมตัวไปศาลสงขลาตามเวลาที่นัดไว้ตอนบ่ายโมงตรง

26 กิโลฯ จากหาดใหญ่ ถึง สงขลา


..................................



ถือเป็นความรู้และประสบการณ์ใหม่ไว้ใส่สมอง

เคยเข้าใจไปว่า หากเราซึ่งเป็นทายาท น่าจะมีสิทธิโดยชอบธรรม

ในการเข้าแจ้งกับทางหน่วยงานทั้งของรัฐและเอกชน

เพื่อขอเป็นผู้จัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของแม่ได้

ในเมื่อเราก็มีเอกสารต่าง ๆ ซึ่งสามารถยืนยันถึงความสัมพันธ์

อีกทั้งใบมรณบัตร ก็น่าจะเพียงพอ

ตั้งแต่แม่เสียเมื่อต้นปี เราเลยไปติดต่อทางธนาคาร ขอดูบัญชีของแม่

ซึ่งทุกธนาคาร ชี้แจงเหมือนกันว่า เราต้องมีเอกสารสำคัญซึ่งออกให้

โดยศาลจังหวัด แต่งตั้งให้เราเป็นผู้จัดการมรดก ซะก่อน

ถึงจะมีสิทธิในการทำธุรกรรมต่าง ๆ แทนแม่ได้

ถึงแม้ว่าทรัพย์สินนั้น จะมีมูลค่าเล็กน้อย หรือมากมายมหาศาลก็ตาม

เดือดร้อนให้เรา ต้องเดินทางกลับไทยอีกครั้งนึงในรอบนี้ เพื่อไปให้ศาล

ทำการไต่สวน ว่าเป็นทายาทจริง และไม่มีผู้คัดค้าน

เพื่อนอธิบายให้ฟังว่า ปกติเราจะต้องนั่งอยู่ตรงกลางห้องพิจารณา

ตรงเก้าอี้หน้าผู้พิพากษา แล้วเพื่อนก็จะยืนอยู่ด้านข้าง

ท่านก็จะไต่สวน ให้เราตอบทุกอย่างตามจริง

ฟังดูน่ากลัวเนอะ เหมือนไปทำผิดอะไรมา

แต่ในกรณีของเรา ไม่ได้มีโจทก์และจำเลย

เราถือเป็นผู้ร้อง เพื่อร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

และด้วยรายละเอียดของเรา ก็ไม่น่าจะมีประเด็นอะไรให้ยุ่งยาก

เพราะเป็นบุตรเพียงคนเดียว และบิดาก็เสียไปนานแล้ว

ทายาทอีกคนซึ่งมีสิทธิในทรัพย์สินคือ อาม่า

ซึ่งหากไม่มีการคัดค้าน ก็ถือว่าไม่มีประเด็นอะไรให้วุ่นวาย

ท่านก็สามารถพิจารณาให้ออกเอกสารแต่งตั้งได้

เพื่อนบอกว่า ปกติถ้าเป็นศาลในกรุงเทพ อาจจะขอนัดเช้า แล้วเย็น

ก็รอรับเอกสารได้เลย แต่ที่สงขลานี่ เพื่อนเองก็ไม่แน่ใจ

บางจังหวัดอาจลากยาวเป็นอาทิตย์ หรือ สองอาทิตย์ก็มี

คิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเรื่องราวของเราไม่ได้ซับซ้อน ดูจะเบๆ เสียด้วยซ้ำ

หากท่านทำการไต่สวนแล้ว ก็จะน่าออกเอกสารให้ได้ในวันนี้เลย

หรือไม่ ก็น่าจะนัดให้มารับพรุ่งนี้เช้า

แต่.. ชีวิตตาต้า ไม่เคยมีอะไรได้มาง่าย ๆ

หรือจะถือเป็นความซวยของเราก็น่าจะได้ ที่..

นัดท่านผู้พิพากษาไว้วันนี้ บ่ายโมงตรง

บ่ายโมงครึ่ง หน้าบัลลังก์เดินเข้ามาบอกข่าวดีให้ทราบว่า

ท่านลาหยุดค่ะวันนี้ ( เออ ท่านคะ จะหยุดทำไมไม่รู้จักดูคิวงานก่อนละคะท่าน )

ต้า : เอ่อ แล้วปกติ ใช้เวลานานแค่ไหนค่ะ ในการออกเอกสาร

หน้าบัลลังก์ : อืมม ก็เป็นอาทิตย์อ่ะคะน้อง

ต้า : ช่วยเร่งให้สักหน่อยได้มั้ยค่ะ พอดีว่าไม่ได้อยู่ในเมืองไทย

ต้องรีบกลับไปหน่ะคะ แล้วนี่คุณทนายนัดวันให้ตั้งแต่เดือนมีนา ท่านก็มาลาซะอีก

หน้าบัลลังก์ : ก็ท่านไม่มาอ่ะคะ ต้องทิ้งเอกสารไว้

ขณะเดียวกัน เพื่อนก็ส่งซิกให้หย่อนค่าขนมให้ชีไป จะได้ง่ายขึ้น

ต้า : ช่วยหน่อยแล้วกันนะคะพี่ หนูยังต้องไปติดต่ออีกหลายที่เลยค่ะ

ที่สำคัญคือ ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าไม่มีเอกสารอันนี้ซะก่อน

ยังไง ขอเป็นพรุ่งนี้ได้มั้ยคะ

หน้าบัลลังก์ : พี่ก็อยากจะช่วยนะคะ แต่แหม ท่านก็ดันมาลา

แล้วพรุ่งนี้ พี่ก็ลาหยุดไว้ด้วยอ่ะคะ

เอ๋า....... ซวยซ้ำซ้อนอีกเรา

สรุปว่ากว่าท่านและหน้าบัลลังก์จะได้เจอกัน ก็วันพุธ

ต้า : งั้น ขอเป็นมารับเอกสารวันพุธได้มั้ยค่ะ

เพราะวันพฤหัสฯ เป็นวันพืชมงคล ราชการหยุดอีก

อย่างน้อย หนูจะได้ไปติดต่อธนาคารก็ยังดี

เพื่อน : งั้นรบกวนขอเบอร์ติดต่อพี่ไว้ได้มั้ยค่ะ จะได้โทรมาตามเรื่องได้

หน้าบัลลังก์สาว จดเบอร์มือถือพร้อมชื่อเล่นให้แต่โดยดี

เพื่อน : อันนี้เป็นสำนวนทั้งหมดนะคะ พิมพ์มาให้เรียบร้อยแล้ว

ชีรับเอกสารทั้งหมดไปตรวจสอบ แล้วขอเพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่าง

เดือดร้อนให้เราและเพื่อน ต้องรีบบึ่งรถจากสงขลา กลับไปยังตัวเมืองหาดใหญ่

และรีบบึ่งกลับมาให้ทันก่อนเวลาเลิกงาน ซึ่งในขณะนั้น จวนเจียนจะบ่ายสามอยู่แล้ว

แต่เพื่อให้เรื่องราวของเอกสารเสร็จสิ้นครบถ้วนภายในวันนี้ จัดไปค่ะ

4.20 รถจอดติดไฟแดงอยู่สี่แยกไม่ใกล้จากศาล

เรารีบกดโทรศัพท์ไปหาชีเพื่อแจ้งให้ทราบว่าใกล้จะถึงแล้ว รอหน่อย รอหน่อย

4.35 เสร็จสิ้นเรื่องราวของเอกสารที่ยื่น

บอกชีไปว่า วันพุธจะโทรมาตามเรื่อง หากได้เอกสารเลยจะขอบพระคุณมาก

5.30 พาเพื่อนไปแวะหม่ำมื้อเย็นที่สะพานเปรมฯ เกาะยอ

ก่อนจะขับรถกลับไปตัวเมืองหาดใหญ่ เพื่อส่งเพื่อนกลับไปยังกรุงเทพฯ

ที่เหลือ เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการเองทั้งหมด


.................................



สองทุ่มครึ่ง ตั่วกู๋มารับจากหาดใหญ่ ไปนอนบ้านอาม่า

บ้านอาม่าอยู่ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ไปร่วม 27 กิโลฯ

ตำบลพังลา บ้านคลองแงะ เป็นตำบลเล็กๆ ที่ไม่มีห้าง

มีแต่สวนยางเต็มสองข้างทาง แต่เด๋วนี้พัฒนา โรงงานผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

สามทุ่มนิด ๆ ถึงบ้านอาม่า อาม่าไม่อยู่บ้าน

น้าสาวคนเล็กมารับไปเที่ยวกระบี่หลายวันแล้ว

เพราะอาม่าอยู่บ้านแล้วเหงา ๆ เฉา ๆ คิดถึงเรื่องราวเก่า ๆ

ตั่วกู๋บอกว่า อีกสองสามวันคงกลับ

ปกติจะนอนกับอาม่า แต่อาม่าล็อคห้อง เข้าไม่ได้

ไม่เป็นไร นอนมันกลางบ้านเลยละกัน

เหนื่อยจังวันนี้ นอนตรงไหนก็ได้แล้วเรา

................................