วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

About hair cut




















เสาร์ที่ผ่านมา มีนัดกับช่างตัดผมตอน4โมงเย็น
สืบเนื่องมาจากความงก








เข้าร้านทำผมครั้งสุดท้ายเมื่อปลายเดือนสิงหาปีที่แล้ว
ได้กลับไทย เลยถือโอกาส ตัด ทำสี ไฮไลท์ อบไอน้ำ เคลือบผม






กลับไปสามอาทิตย์ สระผมเองอยู่ครั้งเดียว นอกนั้นเข้าร้าน
สระแล้วทำทรีทเม้นท์ เคลือบผม สปาผม อบไอน้ำ นู้นนี่
ทำสลับกันไป ให้สมกับที่ไม่ได้ทำมาร่วม 2 ปี
(ออกแนวอัดอั้น)







พอกลับมาก็ไม่ได้ทำอะไรกับผมอีก จนมันเริ่มยาว ไม่เป็นทรง
แต่ยังไม่อยากเปลี่ยนทรง อยากเลี้ยงไว้ให้มันยาว แค่รู้สึกอยากเล็มปลาย









ราคาค่าตัดผมที่นี่ ถ้าเป็นร้านเกาหลี หรือร้านคนไทย ขั้นต่ำอยู่ที่ $35
หลัง ๆ เริ่มมีทางเลือกใหม่ มีช่างคนไทยที่พอมีฝีมือและประสบการณ์จากเมืองไทย
หารายได้พิเศษ ด้วยการรับตัดผมที่บ้าน ( หมายถึงนัดไปตัดที่บ้านของช่าง )
ราคากันเอง $ 15-20



แต่จะตัดอย่างเดียว ไม่มีสระ เราต้องสระมาจากบ้าน







อย่างที่บอกด้วยความงก คิดว่าแค่เล็มปลายเอง เสีย $20 ดูจะไม่คุ้ม
ประจวบเหมาะกับแฟลตเมทของอุ๊กำลังเรียน hairdressing
และเห็นว่าตอนอยู่เมืองไทย ที่บ้านเปิดร้านทำผม แล้วก็เคยเป็นช่างอยู่
แล้วเรากับน้องคนนี้ก็เคยป๊ะหน้ากันอยู่ เวลาไปบ้านอุ๊






อุ๊เลยอาสาไปถามให้ ว่าแค่เล็มปลายคิดตังค์ป่าว



เค้าเห็นว่าเป็นคนรู้จักกัน เลยจะตัดให้ฟรี แค่ซื้อขนมมาให้ก็พอ







ได้การดังนั้น เลยนัดวันเวลา เพื่อไปขึ้นเขียง






ก่อนนัด อุ๊มีกระซิบบอก ว่าน้องเค้าซอยผมไม่ค่อยสวย แต่พี่จะลองดูก็ได้ เอ๊า..เวรแร่ะ อยากกลับลำ แต่พี่อ้อบอกให้ลองดู ถ้าไม่ดี เด๋วมันก็ยาว





นั่งตัดมันในครัวบ้านอุ๊ ตัดเสร็จ ผลที่ออกมา เป็นที่หงุดหงิดหัวใจยิ่งนัก






เล็มจริง ๆ เล็มแบบไม่มีการซอย สไลด์ ใดใดทั้งสิ้น ผมออกมาเป็นขั้น ๆ ทื่อ ๆ









สระผมแล้วนอน ตื่นเช้ามา บานกระดก กระเด้ง ทั้งหัว
พอใช้ที่หนีบ ๆ แล้ว ก็ยิ่งเห็นความเว้า ๆ แหว่ง ๆ








ทนหงุดหงิดอยู่ 2 อาทิตย์ ไม่ไหว ๆ ยอมเสียตังค์ $20 ไปตัดกะช่างมืออาชีพดีกว่า








เลยเป็นที่มาของการนัดช่างในเย็นวันเสาร์ ตอนแรก นึกว่าจะตัดคนเดียว
แต่พี่อ้อจะตัดด้วย ทั้งที่เพิ่งตัดไปเมื่อเดือนก่อน








ช่างเป็นหนุ่มวัย 30 กว่า ๆ เคยตัดผมแถวสยามมาก่อน แล้วก็มาเรียนเพิ่มที่นี่
ฝีมือดี ชี้ทรงไหน ได้ทรงนั้น








ครั้งแรกที่พาพี่อ้อไปตัด พี่อ้อจิ้มทรงในหนังสือ เค้าก็ตัดออกมาแบบในหนังสือเป๊ะ ๆ
เลยถือเป็นช่างประจำ อุดหนุนกันเรื่อยมา








ว่าแล้วก็ขอเม้าท์พี่อ้อสักหน่อย



พี่อ้อเป็นคนตัดผมบ่อย แต่ละทรง ไม่ตามแฟชั่นในขณะนั้นแต่อย่างใด





พี่อ้อไม่นิยมทรงเด็กเกาหลี ที่มีราก ๆ มายาวรุงรังปิดหูปิดตา
( ซึ่งก็ถูกใจต้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้าก็ไม่ปลื้มทรงแนวนี้ )






มีอยู่ครั้งนึง สมัยต้ายังอยู่เมืองไทย พี่อ้อบอกว่าไปตัดผมมา
ไถด้านข้างออกหมดเลย เหลือตรงกลางอยู่ไม่กี่เซน



ส่งรูปมาให้ต้าชม





อร๊ายยยยยยยยยยย ไม่ช๊อบบบบบบบบบบบบ
ไม่ชอบให้ไถเขียว ๆ






บอกพี่อ้อไปว่า เราคุยกันแบบพี่ไม่ต้องเปิดกล้องไปสักพัก รอผมพี่ยาวแล้วค่อยเปิดละกัน







ที่ผ่านมา มีหลายทรงที่พี่อ้ออยากทำ ยกตัวอย่างมาเม้าท์กันสัก 3-4 ทรง





ทรงมหาดไทย






ได้แรงบันดาลใจมาจากคนเชิดหุ่นกระบอก พอดีได้ดูรายการนึง เค้าสัมภาษณ์และพูดถึง
เรืองราวของโจหลุยส์ พี่อ้อเห็นคนเชิดหุ่นคนนึง ตัดผมทรงมหาดไทย
หันมาบอกต้าเลย "พี่อยากตัดผมทรงนี้อ่ะ"




แล้วก็ได้ไปตัดมาสมใจอยาก มีมหาดไทย (หญิง) เดินไปมาอยู่ในบ้าน








ทรง... ( เรียกไม่ถูกอ่ะคะ )





มันเป็นทรงที่ต้องเลี้ยงผมไว้ยาว ๆ ให้เท่ากัน แล้วก็มัดไว้ครึ่งหัว ส่วนครึ่งล่างก็ไถเกรียน
( จะนึกกันออกมั้ยอ่ะ )


เลี้ยงยาวอยู่ได้พักใหญ่ จนคนข้าง ๆ ( นั่นหมายถึง ต้าและอุ๊ ) พูดกรอกหูพี่อ้อทุกวัน
ว่าโทร๊ม โทรม แย๊ แย่


พี่อ้อเริ่มทนแรงกดดันไม่ไหว บอกให้ช่างไถเลย แล้วลองมัดดู
มัดได้หางหนูมาจิ๊งนึง แถมความยาวด้านหน้ายังไม่พอ คอยหล่นลงมาเรื่อย
ต้าก็กดดันต่อ ให้ตัดสั้นเห๊อะ ( เพราะเค้าไม่ช๊อบบ )








ทรงสิงโต




หมายถึงน้องสิงโต เดอะสตาร์นี่ละค่ะ นั่งดูคอนเสริ์ตอยู่ พี่อ้อเล็งเห็นว่า
ทรงผมของน้องเค้าเท่ดี
อาทิตย์ถัดมาโทรนัดช่าง พร้อมกับถือแผ่นดีวีดีเดอะสตาร์ไปด้วย
ไปเปิดให้ช่างดู



ตัดเสร็จ ต้าเดินกลับบ้านพร้อมสิงโต เดอะสตาร์








ทรงบากข้าง




อันนี้เป็นทรงล่าสุด ระหว่างที่ต้าตัด ก็เม้าท์กับช่าง ว่าพี่อ้ออยากบากเป็นขีด ๆ ด้านข้าง
อยากทำมานานแร่ะ เนื่องจากไปเห็นพ่อของเปรมทำ สวยดี
ช่างบอก ทำได้ ไม่มีปัญหา



ต้าหันไปมองหน้าพี่อ้อ จะตัดจริง ๆ อ่ะ
พี่อ้อบอก "ลองดู ถ้าไม่ดี เด๋วมันก็ยาว"



ว่าแล้วก็จัดไป
ตัดผมเสร็จ ไปหม่ำมื้อเย็นกันที่ร้านเกาหลี



ฝนตกพรำ ๆ ต้าเดินกางร่มไปพร้อมกับพ่อของเปรม เหอ เหอ






รอบนี้บากแค่ข้างเดียว
พี่อ้อบอกว่า คราวหน้าว่าจะบากสองข้าง























..

ท้ายสุด

เก็บตกเมื่อสัก 3 -4 ปีที่แล้ว







^ ^

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552

- - ฤ ดู - -






Q: ชอบฤดูไหนที่สุด

.

.

.



ถ้าเป็นตอนอยู่เมืองไทย ฤดูที่รักที่สุดก็คงจะเป็นฤดูหนาว รองมาก็น่าจะเป็นฤดูฝน
( แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่ได้อยู่นอกบ้านนะ )


จะอยู่ในบ้าน ในออฟฟิต ในห้าง ได้หมด แค่ตัวเราไม่เปียก
ก็พร้อมจะชื่นชมกับสายฝนพรำ ๆ


ชอบนั่งมองฟ้าเวลาฝนตก ไม่ได้โรแมนติกแต่อย่างใด
แต่ไม่รู้ทำไม รู้สึกตื่นเต้นดีใจทุกครั้งที่ฟ้าเริ่มตั้งเค้า


เมฆดำทะมึนค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาช้าๆ
ลมพัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างปลิวว่อนไปว่อนมา


เมฆยิ่งดำ ยิ่งก้อนใหญ่ ความตื่นเต้นก็จะเพิ่มตามขึ้นไปด้วย
ยิ่งมีเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่าด้วย จะได้อารมณ์สุด ๆ


เคยทำงานอยู่บนตึกสูง แล้วสามารถเห็นเมฆตั้งเค้าดำมาได้แต่ไกล ตื่นเต้นดีใจจนเพื่อนร่วมงานเริ่มคิดว่าอินี่ท่าจะบ้า


จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ นั่งมองฝนตกอยู่หน้าบ้าน
นั่งอยู่เฉย ๆ ได้นานร่วม 2 ชั่วโมง








ที่นี่ ไม่มีฤดูฝน แต่ฝนก็ตกมันทุกฤดูเหมือนกัน



เวลาฝนตกก็ไม่ค่อยมีปรากฏการณ์ฟ้าดำมืดแบบบ้านเรา ฟ้าแค่พอเทา ๆ แล้วก็เทลงมาเลย
ยิ่งเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่านี่ แทบนับครั้งได้ ฟ้าแลบมีให้เห็นนบ้าง แต่ไม่บ่อย



ปีแรกที่มาอยู่ที่นี่ ตั้งหน้าตั้งตารอหน้าหนาว อยากสัมผัสความหนาวยะเยือกแบบเมืองนอก
จำได้ว่า เดินลงไปส่งอุ๊+ก้นดำ หน้าตึก (ที่ห้องเก่า) หัวมุมถนนมีป้ายไฟโชว์อุณหภูมิติดอยู่

สี่ทุ่มกว่า ๆ ที่อุณหภูมิ 4 องศา
สมใจ หนาวสมใจ แต่ยังชอบ อยากหนาวอีก หนาวได้อีก







ปีนี้ รู้สึกว่าหนาวเร็ว นี่แค่กลางเดือนมิย ก็หนาวมากมายแล้ว ช่วงนี้เปิดฮีทเตอร์ในห้องทุกวัน พอใกล้จะนอนก็ปิด แล้วไปเปิดฮีทเตอร์ที่นอนแทน



เวลาอาบน้ำ ก็ลากเอาฮีทเตอร์เข้าไปในห้องน้ำด้วย
ไม่ไหว ต่อให้อาบน้ำอุ่นก็ไม่ไหว
ไอ้ตอนที่โดนน้ำอุ่น ๆ ก็อุ่นดีหรอก
แต่ไอ้ช่วงก่อนอาบกะหลังอาบเนี่ยซี๊





เดือนหน้าคงหนาวจับใจกว่านี้
หน้าหนาว ก็เลยไม่ค่อยพิศมัยสายฝนสักเท่าไหร่


เพราะถ้าอยู่นอกบ้าน จากที่หนาวอยู่แล้ว มันจะยิ่งทรมานหนักเข้าไปอีก









บริษัททัวร์ เริ่มstart ทริปเที่ยวสโนว์กันแล้ว
ไปมา 2ปีติดแล้ว ปีนี้ เราคงไม่ไป



ฤดูหนาว ทำให้เราได้เห็น ต้นไม้ใบไม้ สีสวยแปลกตา


ฤดูหนาวมาพร้อมกับแฟชั่นเสื้อโคท ผ้าพันคอ ถุงมือ หมวก ที่คลอบหู


ฤดูหนาว ทะเลสวย แต่อยู่ชื่นชมได้ไม่นาน เพราะหนาวเกินจะทน


ฤดูหนาว ทำให้เราขี้เกียจหนักกว่าเดิม กลับถึงบ้าน ไม่อยากทำอะไร
นอกจากนั่งอิงแอบกะฮีทเตอร์ ประหนึ่งรักกันมากมาย


ฤดูหนาว ทำให้ตอนเช้าเราไม่อยากตื่น ใต้ผ้าห่มอุ่น ๆ นี่มันช่างดูดวิญญาณ


ฤดูหนาว เราต้องซักผ้ามากกว่าเดิม เพราะใส่หลายตัว


ฤดูหนาว ทำให้ผิวแห้งเหี่ยว






ทำไปทำมา เริ่มรู้สึกไม่ชอบหน้าหนาวแร่ะ


เปลี่ยนใจไปรัก Spring แทนดีกว่า
ไม่หนาว ไม่ร้อน กำลังสบาย





ไว้จะหวนกลับไปรักหน้าหนาวอีกที ตอนกลับเมืองไทยละกัน

.

.

.














































.


.


.




























.

.

.





.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.......

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เลขสามแล้วจ๊า










ปีนี้ เข้าสู่เลข 3 กันแล้วน๊า
30 กับ 3 ขวบ



เซอร์ไพรส์วันเกิดของสองสาวปีนี้ ยังคงเป็นความคิดของพี่อ้อเหมือนเดิม ยังจำได้ว่าปีที่แล้ว เราร่วมหัวกันทำอุ๊น้ำตาไหลกันเลยทีเดียว


ปีนี้อุ๊บอกว่า รู้แกวแล้ว รับรองไม่มีร้องซะให้ยาก



ปีนี้พี่อ้อมีคอนเซปต์เลข 3
เลยจัดให้มีของขวัญทั้งหมด 33 ชิ้น ( เอาอายุสองสาวมารวมกัน ) โดยจะหาซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆ ที่อุ๊และก้นดำชอบมาห่อใส่กล่องไว้ แล้วจะตั้งกองให้ดูสุมๆ เยอะๆ เหมือนภูเขาของขวัญกองย่อมๆ




แต่จะมีของขวัญอยู่ชิ้นนึงที่ต้าเตรียมไว้แล้ว และตั้งใจว่าจะให้อุ๊



ส่วนเค้ก ปีนี้เราจะไม่มีเค้ก เพราะเบื่อแล้ว เราเลยเปลี่ยนจากเค้กเป็นโดนัทของ krispy cream ที่อุ๊โปรดปรานแทน จะเอามาเรียงต่อๆกันให้เป็นชั้นๆ แต่มีข้อจำกัดที่ 1 โหล ( ก็นะ ราคาหลายตังค์อยู่ )




ระหว่างที่ยังไม่ถึงวันเกิด เราก็ทยอยซื้อของขวัญไปเรื่อยๆ โดยที่พี่อ้อจะเลือกของที่เป็นของก้นดำซะเป็นส่วนใหญ่ จนต้าต้องคอยเบรคว่าซื้อของอุ๊มั่งจิ มีแต่ของก้นดำ
ปกติพี่ก็ซื้อของเล่นให้ชีบ่อยอยู่แล้วนะ ( ป้าต้าเชื่อว่าของเล่นที่ก้นดำมีอยู่ทั้งหมด 70% มาจากป้าอ้อแหงมๆ )



พี่อ้อบอกว่า ซื้อให้ลูกก็เหมือนซื้อให้แม่นั่นแหล่ะน่า



ปีนี้ วันเกิดของอุ๊ ตรงกับวันพฤหัส ( 11 June ) ส่วนของก้นดำ ตรงกับวันเสาร์ ( 13 June )
เราเลยตกลงกันว่า จะปาร์ตี้กันในวันเสาร์ละกัน




คืนวันพุธ เราก็เริ่มทยอยห่อของขวัญบางส่วนที่หากล่องใส่ได้ เหลืออีกบางส่วนที่ต้องหากล่องใส่เพิ่ม ระหว่างนี้ เราพยายามเลี่ยง ไม่ให้อุ๊ขึ้นมาบนห้องกันสุดฤทธิ์ ด้วยความที่ไม่รู้จะเอาของขวัญทั้งหมดไปซ่อนไว้ที่ไหนดี ( ก็ห้องใหญ่โตซะขนาดนี้ )





คืนวันพฤหัสฯ โทรไปร้องเพลง อธิษฐาน ของ นัท ให้อุ๊ฟัง สองคนช่วยกันดำน้ำกันสุดชีวิต
( อุ๊บอก ฟังไม่รู้เรื่อง )









เมนูวันเสาร์
พี่อ้อเสนอ ยำปลาทอดสมุนไพร
อุ๊อยากกิน ยำซีฟู๊ด
ต้าเลยจัดไป 3 อย่าง
ยำปลาทอดสมุนไพร
ยำซีฟู๊ด
แถมท้ายด้วย salt&peper squid


ส่วนอุ๊ ทำเกาหลาลูกชิ้น หมูสับมาเสริม
ของก้นดำเป็นบะหมี่น้ำ





ระหว่างที่ต้าทำกับข้าว พี่อ้อก็จัดการกับเรื่องกองของขวัญ ตอนแรกพี่อ้อกะจะให้อุ๊เปิดห้องมา ก็เห็นกองของขวัญเลย แต่ต้าอยากให้อุ๊เห็นทีหลัง พี่อ้อเลยเอาผ้ามาคลุมไว้ แล้วเอาลังมาครอบโดนัทวันเกิดไว้ด้านใน โดยต้าแอบเบี่ยงเบนความสนใจอุ๊ ว่าของขวัญปีนี้เป็นตุ๊กตาหมีตัวโตของก้นดำ เลยต้องเอาผ้าคลุมไว้ก่อน




ห้าโมงสี่สิบห้า
อุ๊และก้นดำ ก็มาถึงห้องเรา
วันนี้ก้นดำมาในคอนเซปต์ Pinky girl อุ๊บอกว่า ชีเลือกชุดเอง เลือกไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และร่ำร้องจะใส่นอนให้ได้ ใส่ไปได้สักพัก ชีร้อง คาน ๆ
( ก็มันไม่ใช่ชุดนอนนี่ลูก )




อุ๊มาพร้อมกับความหิว หิ้วท้องกะมากินยำซีฟู๊ดเต็มที่ ส่วนก้นดำมาพร้อมกับความง่วง เพราะวันนี้ชีไม่ยอมนอน มีเวลาท๊างวันไม่ยอมนอน เพิ่งมารู้สึกอยากนอนเอาตอนห้าโมงเย็น
( หลัง ๆ นี่ ความรู้สึกช้าตล๊อด )

พอมาถึง ชีเลยงอแง ร้องจะ กะบ้าน (กลับบ้าน) ตลอด



อุ๊เห็นกองของขวัญที่คลุมผ้าไว้






















"เหมือนหลุมฮวงซุ้ยเลยพี่"


"…."
















หลังจากจัดการอาหารทั้งหมดด้วยความรวดเร็ว ก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญ
อุ๊ถลกผ้าคลุมออก ก็ได้เจอกับสิ่งนี้






















แล้วภารกิจการแกะห่อของขวัญก็เริ่มต้น
โดยมีก้นดำวุ่ยวายอยู่ใกล้ ๆ

























กล่องแรกเปิดมาเจอ ชอคกาจุ๊บ 3 อัน

โอ้โห ถูกใจก้นดำสุด ๆ เอากล่องไปกอดไว้ไม่ยอมปล่อยเลยทีเดียว





































































ที่เหลือก็เป็นพวกของเล่นเสริมทักษะเด็กหน้าบ้านๆ แบบก้นดำ สลับกับของชอบของอุ๊









































































แกะไปจนถึงกล่องสุดท้าย อุ๊ก็เห็นว่ามีสิ่งนี้อยู่ในลัง
























วันนี้ป้าอ้อชวนฝ้ายกับสามี ( เพื่อนข้างห้อง ) มาร่วมแจมกับเราด้วย ปีนี้เลยมีโดนัทวันเกิด กับเค้กก้อนโตจากฝ้ายและสามี ให้เป่า

ระหว่างที่หม่ำเค้ก+โดนัท ต้าก็ถามอุ๊ว่า ได้นับหรือเปล่า ว่าของขวัญครบ 33 ชิ้นรึป่าว



"ไม่ได้นับอ่ะพี่ ทำไมเหรอ ถ้าเกิน พี่จะยึดคืนรึ?"


ต้าเลยต้องเฉลย ว่ามันมีแค่ 32 ชิ้น ส่วนชิ้นที่ 33 อยู่นี่จ๊า







.
.
.
































..........







น้องกีตาร์ ( ก้นดำของป้า )




ป้าเห็นหนูครั้งแรกเมื่อตอนที่หนูยังอายุได้แค่ 2 เดือน จนถึงวันนี้หนู 3 ขวบแล้ว ป้าไม่เคยได้เห็นพัฒนาการ(ด้านมืด) ของเด็กคนไหนใกล้ชิดและสนิทสนมมากเท่านี้มาก่อน

มันทำให้เราผูกพันกันมากกว่าหลานจริงๆ ของป้าซะอีก

ป้าอ้อเล่าให้ฟังว่า วันที่หนูคลอด ป้าอ้อกับเพื่อนไปเยี่ยมหนูกับแม่ที่โรงพยาบาล ป๋าหนูไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ เพราะต้องไปทำงาน ป้าอ้อบอกว่า หนูร้องเสียงดังลั่นโรงพยาบาลเลย
แถมร้องแบบ non stop ร้องแบบไม่คิดว่าจะเหนื่อย ร้องมันตลอดเวลา



ป้าอ้อพูดเสมอว่า ยังจำวันที่ หนูลุกขึ้นนั่งได้เองเป็นครั้งแรกได้อยู่เลย นอน ๆ อยู่ดีดี ก็ลุกดึ๋งขึ้นมานั่งเฉยเลย


แต่สำหรับป้าต้า ป้าจำวันที่หนูเริ่มเดินได้ แค่สองก้าวที่หนูเดิน ป้า ๆ ดีใจกันซะยกใหญ่ ( จะได้ไม่ต้องอุ้มมันแร้ววว )


จากนั้น ป้า ๆ ก็ตามลุ้นกันเรื่อยมา ถึงพัฒนาการของหนู เมื่อไหร่จะเดิน เมื่อไหร่จะพูด
ยิ่งแม่ของหนู ออกแนววิตกจริตเป็นพัก ๆ ช่วงไหนแม่ไปได้ยินได้ฟังอะไรมา ก็จะกริ๊งกร๊างมาปรึกษา ว่าหนูผิดปกติหรือเปล่า ทำไมเด็กคนอื่นเข้าไปถึงไหนๆกันแล้ว



เพื่อน ๆรุ่นเดียวกับหนู ที่แม่หนูรู้จักใน diaryclub เค้ามีพัฒนาการกันพรวด ๆ
ป้าต้ากับป้าอ้อก็ปลอบใจกันไปตามวาระ ให้โอกาสเด็กสองภาษากันนานนิ๊สนึง



ล่าสุด ป๊ะป๋าของหนู ปลอบใจแม่หนูว่า ลูกของพี่ที่รู้จัก สองขวบแล้ว เพิ่งหัดเดินเอ๊งงง
(ช่วยได้เยอะเลยป๋า)



สิ่งเดียวที่ก้นดำมีมากกว่าเด็กวัยเดียวกันคือ รูปร่างของชี แม่อุ๊เลี้ยงดีเกินฐานะทางบ้านมาก ๆ
ตัวใหญ่กว่าใครเพื่อน



ก้นดำของป้า ปีนี้หนูโตเป็นสาวแล้ว (เวอร์ไปอิป้า) ป้าอยากให้หนูโตขึ้นมาเป็นเด็กดีของป๋าและแม่ อยากให้หนูรักแม่มาก ๆ แม่หนูต้องใช้ความอดทนสูงแค่ไหนรู้มั้ย ในการดูแลเด็กไฮเปอร์อย่างหนู


การเลี้ยงดูเด็กคนนึงในสถานที่ ที่มันไม่ใช่บ้านเรา แถมไม่มีคุณตาคุณยายคอยช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะลูก


แม่หนูต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง พยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้หนู เท่าที่จะทำได้ แม่หนูบอกว่า ไม่อยากให้หนูโตเลย แม่กลัว กลัวโตขึ้นแล้วหนูจะแรด (เอิ๊กกก) กลัวเป็นแบบวัยรุ่นที่นี่
กลัวติดแฟน กลัวเสียคน กลัวสารพัดสารเพ



แม่หนูเคยบอกว่า ถ้าโตขึ้น แล้วหนูจะกลายเป็นแบบป้า ๆ แม่จะไม่ว่าเลย แต่ถ้าจะให้ดี เป็นดี้ ดีกว่าทอมนะลูก ดูน่าจะสบายกว่า 555 ( งั้นรึ )


บล็อกทั้งหลายที่ป้าเขียนเกี่ยวกับหนู ป้าจะเก็บไว้ให้หนูอ่านตอนโตนะจ๊ะ เผื่อว่ามีช่วงไหนที่หนูพอจะจำได้บ้าง แล้วเกิดอยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง จะได้เถียงป้าได้ ซึ่งตอนนั้นป้าคงเถียงหนูไม่ทันแร่ะ ^ ^































สองภาพนี้เป็นวันที่แม่อุ๊เอาเค้กไปให้หนูเป่ากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน
























น้องอุ๊





3 ปีแล้วน๊า ที่เราได้ฉลองวันเกิดร่วมกัน

อุ๊ก็เหมือนก้นดำ เป็นอีกคนที่พี่สนิทและผูกพันกันมาก ซะจนเหมือนอุ๊เป็นคนในครอบครัว เป็นน้องสาวของพี่ไปแล้ว (แม้ว่าเราจะไม่ได้ปิ๊งกันในครั้งแรกที่เจอก็ตาม)


เราต่างก็เป็นประเภท รักนะแต่ไม่แสดงออก
เราไม่เคยหวานใส่กัน ไม่เคยพูดเรื่องความรู้สึกต่อกัน ( ออกแนวฮาใส่กันซะมากกว่า )


แต่พี่และพี่อ้อก็รู้ว่าอุ๊มีความรักและหวังดีกับพี่ ๆ เสมอมา คอยดูแลสารทุกข์สุขดิบกันมาตลอด ในยามที่เราอยู่ต่างถิ่นกันแบบนี้


และพี่ก็หวังให้มิตรภาพของเรา คงอยู่อย่างนี้ไปจนก้นดำโตเลย


ที่ผ่านมา สิ่งใดก็ตามที่พี่ทำให้อุ๊ไม่สบอารมณ์ไปบ้าง ก็อย่าถือสาพี่เลยนะ พี่มันก็ปี๊ดป๊าดไปตามเรื่อง ( อุ๊บอก ตรูเริ่มชินแร่ะ )


จะให้มาพูด มาอวยอะไรกันแบบนี้ต่อหน้า ก็จะล่มซะเปล่า ๆ เลยขออาศัยบล็อกหน้านี้ส่งความรู้สึกไปแทนละกัน


ชีวิตที่นี่ อย่างที่เรารู้ ๆ กันอยู่ เราต้องใช้ความอดทนอย่างมากมาย ท้อแท้ เหน็ดเหนื่อย อยากกลับบ้านกันก็หลายหน


แต่ด้วยเหตุและผล หลากหลายข้อเหลือเกิน ที่ทำให้เราต้องดิ้นรนกันต่อไป




พี่ขอให้อุ๊มีจิตใจที่แข็งแรง พร้อมจะสู้กับทุกสถานการณ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ตามแต่ ขอให้อุ๊และครอบครัวผ่านมันไปได้ด้วยดี มีสุขภาพที่ดี ความรักที่ดี และเจอะเจอแต่คนดีดีนะจ๊ะ


ขอพระองค์ ทรงอยู่คู่กับอุ๊ตลอดไป

God bless you



Lot of love

oxoxox


P'aor & P'tar



.....

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มาร์กดำ

กิจกรรมยามว่างในวันอาทิตย์ที่ฝนตกท๊างวัน


ซักผ้า
.
.
.


dry ผ้า
.
.
.


ดูดฝุ่น
.
.
.


ถูพื้นครัว
.
.
.


เก็บห้อง ที่สภาพประหนึ่งอโยธยาเสียกรุง
(หลังจากที่ก้นดำรื้อกระจายและจากไป...แล้วทิ้งทุกอย่างไว้ เมื่อคืนวันเสาร์)
.
.
.



ทำกับข้าว
.
.
.



ดูดีวีดีรายการไทยที่ขนซื้อมา
.
.
.



เอกเขนก
.
.
.


และ
มาร์กหน้า



มาร์กทิ้งไว้ แล้วนั่งดูทีวีไป




พี่อ้อวนเวียนมาส่องหน้าใกล้ ๆ แล้วถามว่าเป็นไงมั่ง

"........."
(ตึงสิ ตึงมาก ถึงมากที่สุด )





ใกล้จะครบ 20 นาทีแล้ว





พี่อ้อชะโงกมาดูอีกรอบ







"ตัวเอง เค้าว่าตอนนี้หน้าตัวเองเหมือนอะไรรู้ป่ะ "


"หือ... "









"เหมือนขนมปังที่เค้าชอบกินเลยอ่ะ"

(* *)





อร๊ายยยยยยย ...

เถียงไม่ได้ ตึงๆๆๆ





แต่จะว่าไป เติม garlic ไปตรงจมูกสักนิด ก็เหมือนเลยนะนี่













ปล.1 เป็นขนมปังจากร้านเกาหลีที่ช่วงนี้พี่อ้อกะลังฮิต
รสชาติคล้าย ๆ ขนมปังกระเทียม
ความดำไม่มีผลใดใดต่อรสชาติ ไม่รู้จะทำให้ดำทำไม





ปล.2 ไม่ได้ถ่ายรูปตอนมาร์กหน้ามา ใครนึกไม่ออก
ให้นึกถึงหน้าคุณตั๊กตอนเขียนเรื่อง review mark kose แทนนะคะ ดำอย่างนั้นเลยค๊า
^ ^



ปล.3 ถึงป้า ๆ น้า ๆ ที่รักยิ่ง
คีถ้าขอบคุณนะค๊าที่เป็นห่วงและเสียดายแทนหนู ที่หนูเล่นได้ไม่เต็มเม็ดเงินที่แม่เสียไป

ตอนนี้หนูกลับมาแข็งแรงและบ้าพลังได้เหมือนเดิมแล้วค๊า
ไว้พบกับหนูในบล็อกป้าต้าได้ใหม่ เร็ว ๆ นี้


....


วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

^ Luna Park ^


กิจกรรมหลักประจำวันเสาร์ที่ขาดไม่ได้คือการได้พบปะหน้าหลานสุดเลิฟ
เพื่ออัพเดทพัฒนาการด้านมืดของชีกันทุกวีค

เสาร์นี้ก็เช่นเดียวกัน ก้นดำและแม่ มาถึงห้องกันประมาณห้าโมงหน่อย ๆ
เมนูไกลบ้านประจำวันเสาร์นี้ได้แก๊...

ส้มตำไทย
ตำซั่ว

ลาบหมู

ไก่ย่าง

ข้าวเหนียว

ส่วนของก้นดำ อุ๊เตรียมต้มเลือดหมูกะ ปลาแซลมอนย่างมาให้ชี

อิ่มหนำสำราญ เราก็เริ่มเช็คสภาพอากาศของวันอาทิตย์ จันทร์นี้เป็น public holiday ของที่นี่ เป็นวัน Queen's birthday เราก็เลยมีเพลนจะพาก้นดำไปเที่ยว luna park ในวันอาทิตย์
ส่วนวันจันทร์ก็พักผ่อนกันไปตามอัธยาศัย

กรมอุตุที่นี่ ค่อนข้างเชื่อถือได้ถึง 90 % เลยทีเดียว
ดูจากรายงานสภาพอากาศ วันอาทิตย์นี้
อุณหภูมิ 11 -19 องศา
early shower จากนั้นก็ sunny
เราเลยนัดกันเที่ยงให้อุ๊กับก้นดำมาเจอกันที่ห้องแล้วค่อยออกเดินทาง

เช้าวันอาทิตย์
ตื่นมาตอนเก้าโมงกว่า เปิดหน้าต่างดู เห็นถนนเปียก ฝนตกไปแล้วตั้งแต่เช้า แต่ยังมีเมฆลอยอยู่ประปราย
พอสักสิบเอ็ดโมง ฟ้าใส แดดเปรี้ยง อากาศดี ลมเย็นถึงหนาว อากาศเป็นไปตามที่กรมอุตุเค้าว่าไว้จริง ๆ

ป๋าก้องพาอุ๊และก้นดำมาส่งที่ห้องเราตอนเที่ยงหน่อย ๆ วันนี้ก้นดำมาด้วยอาการสงบ เสงี่ยม ผิดไปจากที่เคย อุ๊บอกว่า เมื่อเช้าชีมีน้ำมูก ปะป๋าเลยเอายาน้ำลดน้ำมูกให้ชีกิน เปิดฝาขวดปุ๊บ ชีวิ่งมารอรับยาเลย ชอบมากมายยาขวดนี้
.
.
.
.
.
.

ป๋าอยากให้ชีไม่มีน้ำมูก แต่กลายเป็นว่ายาทำให้ชีเซื่องเป็นหมาหงอยกันเลยวันนี้ ไม่เหลือเค้าของเด็กไฮเปอร์คนเดิม แถมอ้อนแม่สุดๆ ให้อุ้มตลอดเวลา ไม่พูด ไม่เล่น ไม่คุย ถือตัวสุดชีวิต

เที่ยงครึ่ง เคลื่อนขบวนไปรอรถเมล์หน้าถนน oxford ก้นดำชอบนั่งรถเมล์ ชีคงคิดว่าคันใหญ่กว่ารถป๋า มีมากมายหลายที่นั่ง กว้างขวางไฮโซสมฐานะ แถมมีคนขับให้ด้วย

แล้วทุกครั้งที่ขึ้นรถเมล์ด้วยกัน ชีจะต้องเลือกนั่งกับป้าต้าทุกครั้งไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
.
.
.
.
.

วันนี้ชีนั่งเงียบไปตลอดทาง ประมาณสิบนาทีก็ถึงท่าเรือ Circular Quay ( เซอคูร่า คี ) เป็นอีกที่ที่นักท่องเที่ยวมิควรพลาด
.
.
.
.

ที่จริงการเดินทางไปในวันนี้ สามารถไปได้ทั้งทางเรือและรถไฟ แต่เห็นว่าวันนี้แดดดี เลยเลือกลงเรือกันดีกว่า จะได้ชมวิว( เดิม ๆ ที่เราเห็นกันบ่อยเกิ๊น)
.
.
.
.
.
.

ก้นดำดูไม่ตื่นเต้นหรือสนใจกับอะไรทั้งสิ้น ตั้งหน้าตั้งตาหงอยมันลูกเดียว
นั่งเรือแค่ป้ายเดียว ก็ถึง Luna Park เป็นสวนสนุกขนาดย่อม ๆ แห่งเดียวที่มีอยู่ใน sydney
ถือเป็นสวนสนุกในเมืองที่มีมานานแล้ว เครื่องเล่นไม่หวือหวา ไม่โลดโผนมากนัก เหมาะกับเด็กซะมากกว่า คนละแนวกับที่ Gold Coast

เน้นที่ทำเลมันอยู่ริมน้ำ สามารถมองเห็นสะพาน Harbour bridge กับ Opera house
ได้อย่างชัดเจน ตอนที่มีคอนเสริ์ตอัสนี วสันต์ ของสิงห์คอรป์ฯ เมื่อปีที่แล้วเค้าก็มาจัดกันในฮอลล์ที่นี่
ถือเป็นคอนเสริ์ตแรกที่เราได้ดูกับพี่อ้อ.. ที่นี่
.
.
.
.
.

Luna park ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู สามารถเข้าไปเยี่ยมชมบรรยากาศได้ โดยไม่เสียสักกะดอลล์ นอกจากเราอยากจะเล่นเครื่องเล่น ก็ค่อยซื้อ Ticket
.
.
.
.
.
.

วันนี้ฤกษ์ไม่ดี ก้นดำไม่ค่อยให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน ไม่เดิน ไม่สนุก ไม่กิน ไม่คุย ยอมนั่งแค่ 2 อย่าง คือม้าหมุน กะ ชิงช้าสวรรค์
.
.
.
.
.

ตอนขึ้นไปนั่งม้าหมุนกะอุ๊ ชีก็นั่งแบบกอดแม่ตลอดเวลา นั่งหงอย ๆ เหม่อ ๆ มีโบกมือให้ป้า ๆ บ้างพอเป็นพิธี พอลงมาจากม้าหมุน เลยพาชีไปต่อแถวเล่นชิงช้าสวรรค์กันต่อ
.
.
.
.
.

ป้าอ้อขอสละสิทธิ์ เนื่องจากไม่ถูกกะที่สูง
ขอยืนชิล ๆอยู่เบื้องล่างแทน

ขึ้นไปบนกระเช้า ชีก็นั่งเหม่อๆ อีกเช่นเคย
ป้าต้าต้องเคยชี้ชวนให้ดูวิวรอบตัว ดูนก ดูน้ำ ดูเรือกันไป ชีก็มีหืออือร่วมบ้างเล็กน้อย
.
.
.
.
.

ลงจากชิงช้า ป้ากะแม่แทบสุก
แดดแรงเหลือเกิน แต่ลมก็เย็นซะจนหนาว สับสน ๆ
ระหว่างนั่งห้อยต่องแต่งอยู่บนชิงช้า ป้าต้าพยายามเอามือป้องหน้าด้านที่แดดเผาสุดชีวิต
ด้วยความที่นึกถึงคำพูดคุณตั๊ก ที่ว่า
ยอมตัวดำ ดีกว่าหน้าดำ
ไม่อยากหน้าไหม้เช่นกันค่ะ

จบจากชิงช้าก็เลยพาชีไปหม่ำไอศครีม ให้ชีเลือกรสเอง ชีร้องจะกินรสส้ม แต่ไอ้ที่มันอยู่ในตู้นั่นมันคือรส แมงโก้ แต่สีมันส้ม ๆ คล้าย ๆกัน

อุ๊ลองเสี่ยงดู เผื่อชีจะกิน
พี่อ้อเลือกชอคโกแลต ส่วนของเราเลือกรส โลโร
ก้นดำยอมหม่ำไปได้แค่ 3-4 คำ แล้วชีก็ไม่กินแร่ะ ที่เหลือก็เสร็จป้าต้า ฮ่า ฮ่า
ชอบจริง ๆกะไอศครีมเนี่ย ยอมท้องแตกตายดีกว่าทิ้ง

หลังจากเดินดูทั่วๆ แล้ว เห็นว่าก้นดำคงไม่ยอมเล่นอะไรอีกต่อไป เลยตกลงกันว่ากลับเข้าไปในเมืองดีกว่า ไปหาไรหม่ำกัน
.
.
ถังขยะค่ะ น่ารักดี
.
.
.
.
.

ระหว่างนั่งรอเรือ ปรากฏว่าชีนั่งหลับค๊า สัปหงก แถมมีกรนอีก ยาคงออกฤทธิ์นานแล้ว แต่ชีคงทน นี่คงสุด ๆ ไม่ไหวแล้ว พอลงเรือ ก็งีบไปตลอดทางจนขึ้นท่า
.
.
.
.
.

จาก Circular Quay เราจะนั่งรถเมล์อีกประมาณ 10นาทีเพื่อไปกินข้าวแถวไทยทาวน์
ได้งีบไปแค่ 10-15 นาที พอตื่นขึ้นมา เหมือนแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นมาสักขีดครึ่ง จากเดิมที่ low batt เหลือเกิน

ชีเดินขึ้นรถเมล์เอง เลือกที่นั่งเอง และเหมือนเดิม จะต้องนั่งกะป้าต้า นั่งไป ก็เริ่มมีเสียงคุย ถามไป เริ่มมีตอบกลับ

เย็นนี้เราเลือกจะไปหม่ำร้าน ณ บางกอก เพราะใกล้สถานที่นัดเจอเพื่อนของแม่อุ๊
ตอนเย็นแม่อุ๊มีนัดกะเพื่อนร่วมงาน แต่เพื่อนเป็นประเภทเกลียดเด็ก ป้า ๆ เลยอาสาจะดูแลก้นดำให้
.
.
.
ชียอมกินผัดไทยไปหลายคำอยู่

ออกจากร้านอาหาร แวะไปซื้อดีวีดี ต้าอยากดูรายการ The trainer ชอบน้องวันใสมั่ก ๆ เด็กอาไร๊ หน้าใสแบ๊วสมชื่อ

ก้นดำร่ำร้อง กะบ้าน กะบ้าน (กลับบ้าน) ตลอดทาง อุ๊บอกช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ชีชอบอยู่บ้าน ไม่อยากออกไปไหน

ออกจากร้านดีวีดี อุ๊แยกไปหาเพื่อน ก้นดำเซย์บ๊ะบายหม่ามี๊ แล้วขี่หลังป้าต้าเดินไปหาแท็กซี่ พี่อ้อบอกหนาว ไม่อยากรอรถเมล์ ขี้เกียจเดิน ขึ้นแท็กซี่กลับดีกว่า

พอโบกแท็กซี่ได้ ป้าอ้อขึ้นด้านหน้า ป้าต้ากำลังจะเอาก้นดำลงจากหลัง
แต่... ผิดท่าไปหน่อย ชีไหลพรืดลงไปสู่พื้นโดยที่ป้าต้าคว้าไม่ทัน
ลงไปนั่งปุ๊กอยู่ริมฟุตบาธ แล้วก็รีบลุกขึ้นมา ปีนเข้าไปนั่งเบาะหลัง
ระหว่างปีน ชีก็พูด "เจ็บมั้ย เจ็บมั้ย.. คีถ้าเจ็บมั้ย"
เหอ เหอ แปลว่า หนูเจ็บนะเฟร้ยอิป้า
( ก้นดำเรียกชื่อตัวเองว่า คีถ้า แบบสำเนียงฝรั่งแป๊ะเลยค๊า )

ก่อนลงแท็กซี่ ชียังอุตส่าห์ปีนไปด้านหน้า โบกมือบ๊ะบายกะคนขับ แล้วก็เดินนำลิ่วๆ ขึ้นตึกไป
ถึงห้อง ป้าอ้อเปิดการ์ตูนให้ชีดู ชีนั่งเล่นนู้นนี่อยู่พักนึง จากนั่งก็เริ่มนอนดู สักพัก ปรือได้ที่แล้วก็หลับปุ๋ย
หลับไปร่วม 2 ชั่วโมง

3ทุ่มกว่า แม่กะป๊ะป๋ามารับก้นดำกลับบ้าน
อุ๊โทรมาเล่าให้ฟังว่า พอถึงบ้าน ชีบอกว่า
"หมุน ๆ " พร้อมกับทำมือเป็นวงกลม
แล้วก็ " ช้า ๆ "
ชีหมายถึง ม้าหมุน กับ ชิงช้าสวรรค์
อุ๊ : " เพิ่งมานึกได้อะไรป่านนี้ สายไปแล้วลู๊กกกก"
........











วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คลิปมืด ๆ


เสาร์ที่ผ่านมา ก้นดำกะอุ๊มาบ้าน
สวยมาเลยหลานช๊าน
ดูเป็นแฟชั่นแดนกิมจิสุดฤทธิ์
พอชมสวยหน่อย บิดม้วนไปมาอยู่หน้าประตู

.

เด๋วนี้ชีมีพัฒนาการด้านภาษาเพิ่มมากขึ้น
ได้คำศัพท์ใหม่ ๆ มาจากโรงเรียน
.

เด๋วนี้ชีไม่เรียกชื่อแม่ให้สับสนแล้ว
( ระหว่าง อุ๊ กับ อึ๊ )
ชีเปลี่ยนมาเรียก มัมมี่ แทน
.

อุ๊เล่าให้ฟัง มีอยู่วันนึงกลับมาบ้าน
ชีร้องบอก ว้อ-ท่ะ ๆ

อุ๊ฟังอยู่นาน ถึงได้รู้ว่าชีจะกินน้ำ
เกือบหิวน้ำตายก่อนได้กิน
.

ช่วงนี้ก้นดำกำลังหัดเรียนรู้ และเลียนแบบ
ทำตาม พูดตาม
มีเถียง มีงอน
และชอบคิดว่าตัวเองสวยสุด ๆ
ชอบแอ๊บแบ๊วต่อหน้ากล้อง
.
.
.
..
.
..
.
..
.
..
.
พยายามใส่ถุงเท้าให้ป้าอ้อ
.
..
ชีงอน.. ป้าต้าไม่ยอมให้เล่นกล้อง
.
..
.
..
ป้าอ้อแกล้งดึงกางเกงชี
..
..
(ป้าแนทถามว่า ทำไมถึงเรียกหนูว่าก้นดำ
จริง ๆ หนูไม่ได้ดำแค่ก้นนะค่ะ
ดำทั้งตัวเลยค๊า)
.
.

หลังกินข้าวเสร็จ เปิดรายการหลานปู่กู้อีจู้
เป็นเทปที่มีหลานไช้กะอาม่า
ภารกิจที่อาม่าต้องเป็นอาราเร่
ใส่วิก ใส่แว่น แต่งตัวประหลาด

ก้นดำเห็นดังนั้น ตกใจ โวยวายแทบสิ้นสติ
ร้องให้ปิด ๆๆๆ

เราทั้งหลายก็ทำนิ่งเฉย ยังเปิดต่อไป

ชีก็แหกปากร้องไห้ น้ำมูก น้ำตา ไหลมารวมกัน
ประหนึ่งจะขาดใจเสียให้ได้

ท้ายที่สุด ต้องยอมเปลี่ยนแผ่น
ยอมให้ชีดูแผ่นโปรดของชีไป

พอชีเล่นเผลอ ๆ ก็แอบเอาแผ่นหลานปู่ฯ มาใส่ใหม่
โดยกะว่าจะเวริ์ดให้ผ่านตอนที่ชีกลัวไป

แต่กลายเป็นว่าชีกลัวรายการนี้ไปแล้ว
เห็นหน้าลุงปัญญาปุ๊บ ชีรู้เลยว่าแผ่นนี้...ชีกลัว

ป้า ๆ อดดู

ต้องนั่งดู ดอร่า กะชีไป

หนังเรื่องเดียวที่ชียอมนั่งดูโดยไม่แหกปากโวยวายให้เปลี่ยน
คือเรื่อง....

สาปภูษา

อุ๊เล่าให้ฟังว่า ตอนอุ๊ดูที่บ้าน ชีก็นั่งดูด้วย ซึ่งผิดวิสัยชีมั่ก ๆ
พอเจ้าศรีเกษโผล่มาที ชีก็ร้อง ผี ผี ผีมา
แต่ไม่กลัว
( ชีคงคิดว่า ที่นั่งดูอยู่ข้าง ๆ กันนี่น่ากลัวกว่า 555 )

เห็นอุ๊ติดงอมแงมตั้งแต่ก่อนกลับไทย เราเลยไปซื้อมาดูมั่ง
ได้มาแปดแผ่นรวด ประหนึ่งซีรีย์เกาหลีกันเลยทีเดียว

หลังจากไม่ได้ดูหลานปู่ฯ และป้า ๆ ก็ไม่อยากดู ดอร่า
เลยเลือกเปิดสาปภูษาแทน ซึ่งชีก็ยอมแต่โดยดี

ดูไปเล่นไป ป้าต้าเลยถ่ายคลิปหลานเลิฟมาอวดป้า ๆ น้า ๆ
แต่...

ถ่ายตอนกลางคืน

ไฟในห้องเป็น warm light สีนวล ๆ
ตอนดูจาก monitor กล้องก็โอเคอยู่
แต่พอเอามาลงคอม...
จากที่คล้ำ ๆ อยู่แล้ว แทบหาก้นดำไม่เจอ

แล้วป้าก็ฉลาดล้ำ ไม่รู้จะแก้ให้สว่างยังไง
ฟังแต่เสียง แล้วดูกันไปแบบมืด ๆ ละกันเน้อ
( คราวหน้าจะแก้ตัวใหม่นะจ๊ะ)