วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

kiss

สมัยมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ

ตอนไปเรียนภาษา มีเพื่อนผู้หญิง คนไทยคนนึง

ชื่อเอ๋


เวลาพักกลางวัน ก็จะเดินไปกินข้าวด้วยกัน

วันนึง ขณะที่รอสัญญาณไฟข้ามถนนอยู่


เอ๋ : นี่ แกดูไอ้ฝรั่งคู่นั้นสิ

ต้า : ไหนอ่ะ

เอ๋ : ก็ที่ยืนข้าง ๆ เรานี่ไง วุ๊ยย จูบกันอยู่นั่นแหล่ะ


ไอ้เราก็เลยหันไปมองผ่าน ๆ อย่างรวดเร็ว ไม่กล้าจ้องนาน

หนุ่มสาวต่างชาติยืนกอดกันกลม จูบกันเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน

เอ๋ : แล้วเด๋วแกดูนะ พอมันจูบกันเสร็จ มันก็เดินไปด้วยกันต่อ

ไอ้พวกที่ชอบยืนจูบกันตรงป้ายรถเมล์ก็เหมือนกัน

จูบร่ำลาซะยังกะจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วชาตินี้

แต่พอรถเมล์มา มันก็ขึ้นไปด้วยกันนั่นแหล่ะ

ต้า : แล้วแกไปเดือดร้อนอะไรกะเค้าเนี่ย

เอ๋ : เอ๋า อิจฉาไงแก สามีชั้นอยู่ไทยนี่ยะ เห็นแล้วมันปี๊ด


..............................



จะว่าไป ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ นั่นละคะ

ต่างชาติเค้าคงเห็นการแสดงออกทางความรัก เป็นเรื่องปกติธรรมดา

การกอดจูบลูบไล้กันในที่สาธารณะ คงจะเหมือนกับการกินข้าว

คงเป็นเรื่องปกติ ใครๆ เค้าก็ทำกัน มั้ง


แต่สาวไทยอย่างเรา มันเป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคย

ตั้งแต่มาอยู่ใหม่ ๆ จนป่านนี้แล้ว

เวลาเห็นทีไร ก็ยังรู้สึกสะดุดสายตาอยู่ดี


มีอยู่หนนึง เป็นคู่รักชาวเกาหลี

ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยละอ่อน นั่งกันอยู่ที่ป้ายรถเมล์

เบียดกันซะจนฝ่ายหญิงแทบจะคร่อมอยู่บนตักฝ่ายชาย

จูบกันดูดดื่ม เนิ่นนาน จนแทบจะสิงกันอยู่แร่ะ


บางคู่ก็ชอบโชว์ออฟกันตามสนามหญ้าใน park

หรือไม่ก็ตามชายหาด


เคยคุยกะพี่อ้อว่า ถ้าเกิดเค้านัวเนียกันไปมา

จนถึงขั้นที่เกินจะควบคุมอารมณ์ไว้ได้

เค้าจะทำยังไงกันหนอ ทำไมไม่ไปจูบกันที่บ้านหว่า



อันที่จริง การแสดงออกโดยการสัมผัสเป็นสิ่งดีนะเราว่า

กอดกัน หอมกัน จุ๊บกัน แบบกำลังดี

ก็สามารถแสดงต่อกันในที่สาธารณะได้ โดยไม่น่าเกลียด

แต่ถ้าถึงขั้นที่ยกตัวอย่างไปนั้น แล้วไปแสดงออกที่บ้านเรา

ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะค๊าคู๊ณณณณ

เพราะคนไทย... ชอบมุงงงงงง


^ __ ^

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บราวนี่

อังคาร 24 สิงหาคม 2010



เย็นนี้ สองสาว แม่อุ๊กับก้นดำมารวมตัว

ทำกับข้าวกินกันที่คฤหาสน์ของเรา

หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อเย็นไปแล้ว

วันนี้ แม่อุ๊อยากโชว์ฝีมือทำบราวนี่ให้กิน

เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือ ส่วนผสมมาพร้อม

ก้นดำก็อยากมีส่วนร่วม อยากช่วยอยากแจมทุกสิ่งอย่าง

เข้ามานั่งเบียดกันอยู่ในครัวอันกว้างขวาง




วันนี้เรามีหน้าที่เพียงแค่ยืนดู แล้วก็ถ่ายรูป

ปล่อยให้แม่ลูกหนุกหนานกันไป

แม่อุ๊ตวงแป้ง ตวงน้ำตาล แล้วก็ส่งให้ก้นดำเทใส่อ่างผสม

แค่ได้เทของจากถ้วยตวงใส่อ่าง แค่นั้น

ก้นดำดูภูมิใจประหนึ่งได้ทำภารกิจเพื่อชาติเลยทีเดียว







เททุกสิ่งที่ตวงแล้วใส่ในหม้อ

แล้วก็เอาไปทำให้ละลาย โดยการ double boil




อุ๊บอกว่า ถ้าเอาหม้อไปตั้งไฟเลย มันจะไหม้

ต้องใส่น้ำลงไปในหม้อใบล่าง รอให้ร้อน แต่ไม่เดือด

แล้วเอาหม้อใบบนมาตั้งซ้อนเหมือนนึ่งมันอีกที

คนไปเรื่อย ๆ จนละลายเข้ากันดี

ระหว่างนี้ก็เปิดเตาวอร์มเอาไว้ที่อุณหภูมิ 180





แล้วก็เอาลงจากเตา มาตอกไข่ใส่ แล้วคนให้เข้ากัน

ตามด้วยส่วนผสมที่เหลือ เป็นแป้ง น้ำตาล ผงฟู เกลือ

ที่ร่อนไว้เรียบร้อยแล้ว คนเบา ๆ ให้เข้ากัน







แล้วเทใส่แม่พิมพ์เหลี่ยมที่รองด้วยกระดาษไขแล้ว

เอาใส่ตู้อบ ตั้งเวลาไว้ 20 นาที แล้วก็รอ







เสร็จแล้ว ออกมาหน้าตาจะแห้ง ๆ แตก ๆ เล็กน้อย

อันนี้เป็นบราวนี่แบบบางกรอบ ก็จะไม่ฟูฟ่องมากนัก

จากนั้นก็โรยหน้าด้วย choc chip ถั่วบดหยาบ แล้วก็ มาร์ชแมลโล่

เอาเข้าไปอบต่ออีกแป๊บนึง เพื่อให้หน้าติดเป็นเนื้อเดียวกัน








เสร็จแล้วค๊า







แต่ด้วยความที่มันยังร้อนจัดอยู่ ต้องรอให้มันเซ็ตตัวซะก่อน

จะวางไว้เฉย ๆ ก็ไม่ได้ เด๋วก้นเค้กมันจะแฉะ

จริง ๆ มันมีอุปกรณ์สำหรับการนี้ แต่เราไม่มี


อุ๊เลยเอาไปใส่ไว้ในซึ้งนึ่ง ที่ตูดมีรูๆ แล้วถือไว้ มันจะได้ระบาย

ด้วยความที่อยากให้มันเย็นเร็ว ๆ เราก็เลยแนะนำอุ๊ไปว่า

อากาศข้างนอกมันหนาว อุ๊ลองเอาไปจ่อ ๆไว้ตรงขอบหน้าต่างมั้ย

เผื่อมันจะเย็นเร็วขึ้น ว่าแล้วก็ดึงมู่ลี่ เปิดหน้าต่างให้อุ๊




อุ๊ก็ว่าง่าย ไม่รอช้า เอาซึ้งที่ใส่ถาดเค้กอยู่นั้น ไปวางบนขอบหน้าต่าง

แต่... ขอบหน้าต่างนั้น มันมีรางเหล็ก โผล่ขึ้นมา

มันจึงไม่ได้เรียบแบบที่จะวางอะไรไว้บนนั้นได้

ในความคิดเรา คือให้ถือจ่อ ๆ ไว้ที่หน้าต่าง


แต่คงคิดแล้วลืมบอกอุ๊

อุ๊เลยวาง แล้วปล่อยมือออกทันที

ผลที่ตามมาคือ




ว๊ายยยยยยย....... โคร๊มมมม

ซึ้งนึ่งพร้อมถาดบราวนี่ ลอยละล่องจากชั้น 3 ลงไปเอ้งแม้งอยู่ที่พื้นด้านล่าง

สามสาวรีบโผล่หัวออกไปดูนอกหน้าต่าง

ด้านล่างเป็น Parking ... โชคดี ไม่หล่นใส่หลังคารถเค้า

แค่ถาก ๆ :P




อุ๊ได้สติ รีบวิ่งออกจากห้อง ลงไปเก็บของกลาง

กลับขึ้นมาพร้อมกับบราวนี่ ที่หน้าตาบูดเบี้ยว เทไปรวมกันข้างนึง

แต่ยังคงอยู่ในถาดและซึ้งนึ่ง

ซึ้งนึ่งและแม่พิมพ์บิดเบี้ยว เสียทรง

ตอนแรก กะว่าถ้าทำออกมาแล้วอร่อย จะแบ่งไปให้เพื่อนบ้านซะหน่อย

แต่ หน้าตายับเยินขนาดนี้ เก็บไว้กินกันเองเต๊อะ




ปล. ไม่มีรูปหลังเกิดเหตุให้ดูนะคะ เกรงว่าจะติดตา เด๋วหลอน

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คาราโอเกะ กันมั้ย

พุธ 11 สิงหาคม 2010



วันนี้ 4 สาว จะไปร้องคาราโอเกะกันค๊า




ปกติต้ากับพี่อ้อ จะไปร้องกันสองคน หรือไม่ ก็มีไปกับเพื่อนบ้าง

มีอยู่สองครั้งที่อุ๊ไปด้วย แล้วเอาก้นดำฝากป๊ะป๋าไว้

แต่ตอนนี้ ก้นดำโตขึ้น รู้เรื่องมากขึ้น

แล้วก็ไม่ค่อยกลัวสถานที่แปลกใหม่สักเท่าไหร่แล้ว

พอดีกับมีคาราโอเกะที่ใหม่ เป็นของชาวเกาหลี

แต่เปิดในย่านไทยทาวน์ ก็เลยมีเพลงไทยไว้คอยบริการลูกค้าคนไทยด้วย

เคยเดินเข้าไปถาม ว่าถ้าพาเด็กอายุประมาณสัก5ขวบมาด้วยได้มั้ย

คำตอบคือ ไม่มีปัญหา ตามสบาย





ดูรวม ๆ จากขนาดของก้นดำ ก็น่าจะเป็นเด็ก 5 ขวบได้สบาย ๆ

ด้วยความที่แม่เลี้ยงดี กลัวลูกอดอยาก ตัวเลยโตสมใจ





สมัยก้นดำยังเล็ก ๆ สักสองขวบกว่า ๆ

เราเคยไปร้องคาราโอเกะกันที่บ้านอุ๊

ก้นดำดูจะชอบใจนักหนา ถือไมค์ไม่ยอมปล่อย

ถือไว้อย่างเดียว ร้องไม่ได้ ( พูดยังไม่รู้เรื่องเลยตอนนั้น )





พอเห็นคนอื่นร้องเพลงใส่ไมค์กัน ชีก็พยายามจะทำตามบ้าง

เอาไมค์ไปจ่อปาก แล้วร้องออกมาว่า....

" อ้า.. " คำเดียวถ้วน

พออ้าใส่ไมค์เสร็จ ก็จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบอกชอบใจ

ประหนึ่งว่าเพิ่งเอื้อนเอ่ยตัวโน๊ตอันทรงพลังออกมา

ให้แม่และป้า ๆ ได้ยินเป็นบุญหู





ครั้งนี้ เลยถือเป็นครั้งแรก ที่ก้นดำจะได้เข้าสู่สถานบันเทิง

( ฟังดูเริงราตรีเกินไปมั้ย )

จริง ๆแล้ว ก็เป็นแค่ห้องร้องคาราโอเกะ

เครื่องดื่ม soft drink ก็เป็นพวกน้ำหวานธรรมดา

เสียงเพลงก็ไม่ได้เปิดกระหึ่มทำลายแก้วหู

เลยคิดว่า น่าจะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราจะทำร่วมกันได้





ก่อนจะเจอกัน แม่อุ๊ทำได้ทำการบิ้วก้นดำตั้งแต่เช้า

ว่าวันนี้เราจะไปร้องคาราโอเกะกันนะ ร้องเพลงหน่ะ

ก้นดำได้ฟังแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะถามแม่อุ๊ว่า

อะไรคือร้องเพลง ร้องอะไร ยังไง



หลังจากที่เราได้เจอก้นดำ เลยยิงคำถามไปว่า

กีตาร์ หนูจำได้เปล่า ร้องคาราโอเกะ หน่ะเป็นยังไง

ที่ตอนเล็ก ๆ หนูเคยร้อง อ้า ใส่ไมค์ที่บ้านไง จำได้ป่าว

ชีทำหน้าไม่ใส่ใจ เหมือนไม่รับรู้ว่าเคยได้ทำอะไรไว้

เสียดาย ตอนนั้นไม่ได้ถ่ายคลิปไว้ จะได้เอามาแบล็กเมย์ชีซะหน่อย





...............................





หลังจากหามื้อเย็นหม่ำกันเรียบร้อยแล้ว

หกโมงตรง สี่สาวก็พร้อมอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ

ราคาค่าบริการ คนละ $12 ร้องได้ 2 ชั่วโมง เด็กไม่คิด

แถม soft drink ให้คนละหนึ่งขวด


กีตาร์ หนูอยากร้องเพลงอะไร

"ทิงเกอร์เบล"

เอิ่ม เอิ่ม จะมีมั้ย สงสัยได้แต่ฟังป้า ๆ ร้องไปก่อนละกันเนอะ





ตามนิสัย ก้นดำจะชอบฟังเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน

อาทิเช่น ละลาย ของโฟร์มด แล้วก็ของไอซ์ ศรัญญู

( ชื่อเพลงจำไม่ได้ ที่ร้อง จั๊ดจ๊ะดาดั๊ด ไรนั่นหน่ะ )

พยายามจะหาเพื่อเปิดให้ชีฟัง แต่ ไม่มี

ร้านนี้ เพลงน้อย ไม่เหมือนร้านประจำที่เคยไปเลย





พอร้องเพลงช้า ชีก็จะบอกว่า

"กีตาร์ง่วงงง "



พอร้องเพลงเร็ว ชีก็อยากเต้น แต่.. ป้าอ้อต้องเต้นกะชีด้วย

















มาดดี เหมือนจะร้องได้ แต่จริง ๆแล้ว ได้แค่เพ้อเจ้อใส่ไมค์

บางทีก็ไอใส่ ซะงั้น















พลิกเมนูเพลงอยู่นาน กว่าจะเลือกมาได้สักเพลง

พอถึงเพลงที่ต้าจะได้ร้อง หยิบไมค์มา เตรียมไว้

ท่อนแรกมา พร้อม กำลังจะเริ่มร้อง

อ้าปากพร้อมสูดลมหายใจให้เต็มปอด

เสียงป้าอ้อดังมาว่า " เอ้ย เหม็นตด ใครตดอ่ะ กีตาร์ตดเหรอ"


ไม่ทันแร่ะป้าอ้อ กลิ่นเข้าปากต้าไปพร้อมกับท่อนแรก เต็ม ๆ

ก้นดำทำหน้างง ๆ พร้อมกับปฏิเสธว่า มะด้ายตด

เสียงอ่อย ๆ มาว่า " อุ๊เองพี่ "

"โห่ แล้วไมไม่ไปตดนอกห้องฟ่ะ ตาย ๆ ๆ "

ป้าอ้อพูดจบ พร้อมกับวิ่งไปเปิดประตูห้อง ไล่กลิ่น


ส่วนป้าต้า หลังจากที่เป๋จากท่อนแรกไปแล้ว

ถึงกับไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว ล่มทั้งเพลง





……………………….





ระหว่างที่ป้าอ้อกำลังร้อง ป้าต้าอยากออกไปเข้าห้องน้ำ

"ป้าต้าไปหนายย"

"ไปฉี่ ไปมั้ย"

มีหรือที่ชีจะปฏิเสธ อยากออกไปสำรวจโลกภายนอกตลอด ตลอด



ไปถึงห้องน้ำ ว่าง โล่ง ไม่มีคน

ส่งชีเข้าห้องแรก อุ้มให้นั่งชักโครก แล้วก็ปิดประตูแง้ม ๆ ไว้

ปล่อยให้ชีจัดการธุระด้วยตัวเอง

แล้วป้าต้าก็ไปเข้าห้องถัดไป

ทำธุระเรียบร้อย ก็ออกมายืนรอชี





" กีตาร์ เสร็จยัง "

ไม่ตอบ แต่ส่งเสียงอื่นพร้อมกลิ่นมาแทน





" กีตาร์ อึ๊เหรอ... อี๊ เหม็นเชียะ "

จะทิ้งชีแล้วหนีกลับก่อนก็ไม่ได้

ต้องกล้ำกลืนยืนรอชีต่อไป

โอวววว แม่ลูกคู่นี้ น่ากลัวจริง จริ๊งงงงง


...............................

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

smart phone







วันนี้มาเล่าเรื่องของการมีโทรศัพท์ไว้ในครอบครอง

ของชาว overseas ที่นี่กันสักหน่อยดีกว่า

ประเทศนี้ ถ้าเราอยากมีโทรศัพท์ไว้ใช้

สามารถเดินเข้าไปใน shop แล้วกลับออกมา

พร้อมกับโทรศัพท์ใหม่เอี่ยมพร้อมเบอร์

โดยไม่ต้องเสียกะตังค์สักบาท

เพียงแค่มี documents ที่อยู่ใน conditions

อาทิเช่น พาสปอร์ต , เอกสารแสดงสถานะการเป็นนักเรียน

บัญชีธนาคารที่มีชื่อและที่อยู่ ประมาณนี้



เงื่อนไขที่เราต้องยอมรับคือ เมื่อได้เครื่องมาแล้ว

เราต้องใช้จนกว่าจะหมดสัญญา ส่วนใหญ่จะ 24 เดือน

เครื่องถึงจะหลุดเป็นของเราโดยสมบูรณ์

ถ้ายกเลิกการใช้เบอร์และเครื่องก่อนหน้านั้น ก็ต้องเสียค่าเครื่อง

ถ้าใช้ครบกำหนดแล้ว เราก็มีสิทธิไปถอยเครื่องใหม่มาได้อีก



ค่าใช้บริการมีทั้งระบบรายเดือน ( cap ) และเติมตังค์ ( pre-paid )

cap มีตั้งแต่เดือนละ $19 ไปจนถึงร้อยกว่า

ถ้าcap ถูก เครื่องก็จะไม่ไฮโซมาก ธรรมดาทั่ว ๆ ไป

iphone BB Nokia บางรุ่น เริ่มต้นที่ cap $49 ขึ้นไป





เครือข่ายของการให้บริการที่นี่ มีอยู่หลัก ๆ ประมาณ 5 บริษัท

ถ้าใครอยากจะไปถอยเครื่องมันทุกค่ายก็สามารถทำได้

แต่จะทำไปเพื่อ? เพราะนั่นหมายถึงต้องจ่ายค่าบริการทุกเครื่องด้วย




ต้นเดือนที่ผ่านมา ต้าไปเล็ง ๆ จะถอยโทรศัพท์ใหม่

ขณะที่ลังเล ว่าจะรอ iphone4 ที่กำลังจะมา หรือจะเอา BB ดี

สายตาพี่อ้อก็ไปสะดุดกับ BB สีขาว พนักงานบอกว่า

เพิ่งมาใหม่ เป็น limited edition

แรงเชียร์จากพี่อ้อ ทำให้ต้ากลายเป็นสาวก BB ไปโดยปริยาย

ส่วนพี่อ้อ ถัดมาไม่กี่วัน ก็ไปถอย iphone มาไว้ในครอบครอง




BB ของต้า ใช้มาได้ประมาณ 3 วีค ปัญหาก็เกิด

- ระบบ silent ไม่ทำงาน พอมีสายเข้า เสียงยังคงดังอยู่

- เวลาอุ๊โทรเข้า หน้าจอไม่โชว์อะไรเลย จนกว่าอุ๊จะวาง ถึงจะเห็นว่า missed call

- msn ไม่โชว์ picture


พอ แค่นี้ก็เพียงพอ เกินกว่าที่จะรับได้

แวะกลับไปที่ร้านใกล้บ้าน ชี้แจงให้พนักงานฟัง

ปกติ หากเครื่องมีปัญหา สามารถเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้ภายใน 28 วัน

พนักงานสาวบอกข่าวดี ว่าเครื่องสีขาว ไม่มีในสต๊อก T T

นั่นหมายถึง เราต้องรอ งั้นหรือ?



พี่จุ๊บบอกว่า มันเป็นที่ตัว firmware

ถ้าเค้าลงตัวนี้ให้ในเครื่อง ก็น่าจะหาย

แต่ต้าอยากเปลี่ยนเครื่องใหม่

ไม่อยากทำความเข้าใจ ว่าอะไรคือ firmware

ผู้บริโภคอย่างเรา จำเป็นต้องมารู้จักมันด้วยหรือ

เรามีหน้าที่ใช้สินค้าอย่างเพลิดเพลินตะหาก


............


อังคาร 3 สิงหาคม


ตรงดิ่งไปที่ shop แต่เช้า

ชี้แจงความประสงค์กับพนักงาน วันนี้เป็นตี๋อินโด สองคน

ตี๋บอกเรื่องเดิม ๆ คือตอนนี้ที่ร้านไม่มีเครื่องให้เปลี่ยน

เพราะเป็นเพียง dealer เล็ก ๆ ไม่มีเครื่องสำรองมากมาย

แล้วก็คงไม่มีเครื่องมาลงแล้ว เพราะมันเป็น limited edition

วิธีการแก้ปัญหาให้ก็คือ ส่งเครื่องไปให้ที่ศูนย์เช็คและแก้ไข

ระยะเวลา max อยู่ที่ 3 วีค T T

ระหว่างที่ซ่อมก็ไม่มีเครื่องมาให้ใช้แต่อย่างใด

ไอ้เรื่องเครื่องสำรองนี่ไม่เท่าไหร่ เพราะเรามี

แต่อยากได้เครื่องใหม่ เพราะคิดว่า เครื่องนี้ มันปัญหาเยอะ

เกินกว่าจะรับได้ ถ้าซ่อมกลับมาแล้ว เกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีกล่ะ

เราก็ต้องกลับมาหาเพื่อให้ส่งไปซ่อมแล้วก็รออีกงั้นหรือ




อารมณ์เริ่มพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอยู่ที่คอ เสียงเริ่มดัง สีหน้าเริ่มออก

ระเบิดลูกย่อม ๆ บึ้มใส่สองตี๋

สองตี๋เลยเสนอทางเลือกที่สองให้

ก็คือให้เราไปที่ store ในเมือง ซึ่งไม่ใช่ dealer แต่เป็น Head office

เขามีเครื่องในสต๊อกเยอะ และมี power ในการตัดสินใจแก้ปัญหาได้ดีกว่า

แล้วนี่มันใช่ธุระของเรามั้ย ต้องเสียเวลาไปอีกที่นึงเนี่ย


เราก็ถามไปว่า ยูจะโทรไปชี้แจงกับพนักงานที่นั่นให้ชั้นก่อนหรือเปล่า

ไปถึงชั้นก็เอาเครื่องให้เขา เพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่ได้เลยใช่มั้ย

คำตอบคือ No

ปรี๊ดอีกสิ คราวนี้พุ่งขึ้นมาที่หูแร่ะ

นี่แกจะให้ชั้นไปอธิบายทุกสิ่งอย่างให้ที่นู้นฟังอีกรอบงั้นรึ

แล้วถ้าเขาไม่สนใจ ไม่รับฟัง ไม่แก้ไข เพราะเราไม่ได้ซื้อกับเขาล่ะ



นี่มันเหมือนยูจะปัดปัญหาให้พ้น ๆ ตัวไปเลยนะเนี่ย

โวยวายอยู่พักใหญ่ สองตี๋ก็ยังทำหน้ามึน ให้เราแค่สองทางเลือก

เอาว่ะ วันนี้ไม่มีธุระอะไร ลองไปที่ store ในเมืองดูก็ได้


ระหว่างทาง โทรไปปรี๊ด ๆ ให้อุ๊กับพี่อ้อฟังคนละรอบ

เย็นนี้อุ๊จะมาบ้าน เลยรีบบึ่งรถออกมา เผื่อจะช่วยกันสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรม


ไปถึง store เจอสาวเกาหลี ยืนทำหน้าเริ่ด

แล้วตอบปฏิเสธทุกสิ่งอย่างแบบไร้เยื่อไย

แถมบอกว่า ที่นี่ไม่มี head office เขาโกหกเธอแล้วล่ะ



หึ หึ ดีกรีความโกรธพุ่งปรี๊ดขึ้นมาถึงหู

อยากต่อยหน้าตี๋อินโด ฮึ่ม ฮึ่ม

โทรหาอุ๊ อุ๊ใกล้ถึงในเมืองแล้ว เลยนัดเจอกัน


ก่อนที่จะกลับไป shop แถวบ้าน เพื่อทิ้งระเบิดลูกใหญ่

เราก็แวะไทยทาวน์ ซื้อของสดสำหรับทำกับข้าวกินกันเย็นนี้

อุ๊ชวนไปห้างแถว bondi จะไปดูกระเป๋าให้เพื่อนขวัญ

อืม กระเป๋าสวยดี อุ๊บอกว่า ราคาถูกกว่าที่เมืองไทยด้วย

ถูกใจใบเล็กสีขาว แต่เกรงว่า ใช้ไปไม่กี่ทีอาจจะเริ่มดำ
อืมม หรือจะเอาใบเล็กสีดำ แต่ใบใหญ่ก็สวยดี ที่สำคัญ sale ด้วย


ระหว่างที่กำลัง ลังเล ลังเล ว่าจะเอาใบใหญ่หรือใบเล็กดี

อุ๊ซึ่งตัดสินใจซื้อและจ่ายตังค์แล้วเรียบร้อย

ก็เดินมาหาพร้อมกับถุงสองใบ

ยื่นถุงใบนึงมาให้ แล้วบอกว่า "อ่ะพี่ อุ๊ซื้อให้ เป็นของขวัญล่วงหน้า"

เอ๊ยยยย ล่วงนานไปมั้ย รักษาคอนเซปต์จริง ๆ น้องพี่

ยังไงก็ขอบใจมากน๊า เกรงใจ ราคาไม่ใช่ถูก ๆ เลย

อุ๊ซื้อใบเล็กให้ เราก็เลยสอยใบใหญ่มาด้วยซะเลย ^^


ได้กระเป๋าแล้วก็ออกจากห้าง สบายใจ พร้อมไปสะสางเรื่องโทรศัพท์ต่อ

ระเบิดลูกเมื่อเช้า ลดดีกรีความแรงลงไปแล้ว

สองสาว ไปช่วยกันเจรจา เพื่อแสดงเจตนารมณ์อันชัดเจนว่า

ต้องการเครื่องใหม่เท่านั้น

ตี๋อินโดบอกว่า เด๋วจะระบุลงไปในใบส่งซ่อมให้

ตอนนี้ วีคนึงผ่านไปแล้ว ถ้า 3 วีค ยังไม่ได้ จะไปวี๊ดบึ้มอีก คอยดู



ปล. ขอบคุณพี่จุ๊บสำหรับ PF silicone case ทั้งของ BB และ iphone นะคะ

แค่เปรย ๆ ว่าที่นี่ขายแพง แบบธรรมดา ๆ ไก่กา ยังตั้งสิบห้าดอลล์

พี่จุ๊บส่งตรงจากเมืองไทยมาให้เลย ใจดีที่ซู๊ดดดด ^ ^

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

August

August... เข้าสู่เดือนสุดท้ายของ Winter แล้ว

แต่อากาศก็ยังหนาวอยู่ดี

ยังคงมีฝนเทกระหน่ำลงมาให้ยิ่งสั่น

ยังคงมีลมกรรโชกแรงให้หวั่นไหว

วันไหนแดดแรง ๆ ฟ้าใส ๆ แทบจะรีบแต่งตัวออกจากบ้าน

ไปเดินเล่นสังเคราะห์แสงให้สมกับเป็นวันอากาศดี



สมัยอยู่ไทย ชอบมากมาย เวลาฝนตก ฟ้าเทา ๆ ทึม ๆ

มันให้ความรู้สึกแปลก ๆดี

พอมาอยู่นี่ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


ปีแรก อยากหนาว ๆ อยากเจอหน้าหนาว ชอบ ๆ

ปีที่สอง ยังชอบอยู่ เวลาเดินพ่นควันออกปาก สนุกดี หนาวได้อีก

ปีที่สาม เริ่มชา หนาว หนาวไป หนาวไปไหนเนี่ย

ปีที่สี่ เอ้ย ธรรมชาติ หรี่แอร์หน่อยมั้ย หนาวจะตายแล้วเฟ้รยยย



ในด้านของสภาพจิตใจ ก็มีบ้างที่เป็นไปตามสภาพอากาศ

วันไหนที่ฟ้าอึมครึม ฝนปรอย ก็จะหดหู่

จะเป็นมากช่วงกลางวัน ที่ต่างคนต่างไปทำงาน ไม่ได้เจอกัน

ตกเย็น พอกลับบ้านมาเจอกัน ก็หาย



แต่ถ้าวันไหนที่เรามีปัญหากัน ไม่เข้าใจกัน

ความหดหู่ทางจิตใจ จะเพิ่มมากเป็นทวีคูณ

ยิ่งถ้าเคลียร์ไม่จบภายในหนึ่งวัน

จะทิงนองนอยมากมายมหาศาล

เหมือนว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบใหญ่ ไม่มีใครเลย T T




แต่ก่อน ยังไม่เป็นมากมายเท่าไหร่

แต่พอเสียแม่ไป ทุกครั้งที่เสียใจ จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ จะต้องคูณไปอีกสิบ



เช้าวันจันทร์ หลังจากวันเกิดพี่อ้อ

ก่อนไปทำงาน พี่อ้อบอกว่า เมื่อคืนเค้าฝันถึงแม่ตัวเองล่ะ

ฝันว่า... พี่อ้อกำลังนั่งอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังทำพิธีอะไรสักอย่าง

แล้วพี่ที่นั่งอยู่ที่พื้น กำลังค่อย ๆ เขยิบ ๆ ตัวเองออกมาจากวง

ถัด ๆ ก้นมา จนชนอะไรสักอย่าง

หันไปมอง ก็เห็นเป็นเท้าคู่หนึ่ง

จากเท้า สายตาก็เงยขึ้นไปมอง

ความรู้สึกในฝันบอกว่า นี่คือแม่ต้า

แม่พูดอะไรสักอย่างกับพี่ แต่พี่จำไม่ได้

จำได้แค่ว่า ฟังแล้วรู้สึกดี มีความสุข


...............................



แม่กับพี่อ้อ ได้เห็นกันแต่ในรูป

คุยกันทางโทรศัพท์ แล้วก็Webcam MSN

ไม่มีโอกาสได้เจอกันตัวเป็น ๆ



ยังจำได้ ว่าปีแรกที่ต้ากลับไทย

เราคุยกันทางเอ็ม แล้วเปิดกล้อง

แม่บอกว่า พี่ดูเป็นคนใจดี คุยไปยิ้มไป ต้ารีบถามต่อ ว่าพี่หล่อมั้ย

แม่ก็ตอบเอาใจลูกสาว ว่า หล่อจ๊า

ถ้าแม่ได้เจอพี่ แม่คงรู้สึกเหมือนมีลูกเพิ่มมาอีกคน

แม่เป็นคนน่ารัก เสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้.....



...............................



ช่วงเดือนนี้ ถ้าซื้อแผ่นรายการไทยมาดู

คงมีแต่แขกรับเชิญคู่แม่ลูกมาให้สัมภาษณ์

พี่อ้อบอกว่า ให้เวริ์ดข้ามไปเลย ไม่ต้องดู

...............................


พี่บอกว่า ให้ต้านึกถึงสิ่งที่ดีดี ภาพความทรงจำดีดี

เพื่อทำให้เรามีความสุขและเข้มแข็งในทุก ๆ ครั้งที่นึกถึง

พยายามทำ แต่ยังทำไม่ได้

ยังคงเศร้าใจแทนที่จะสุข ในยามที่นึกถึง

ยังคงมีน้ำตาเวลาฟังเพลงบางเพลง

...............................


เมื่อวาน ดูละครเรื่อง กุหลาบไร้หนาม

ฉากที่นางเอกนั่งเศร้า รอคนรักเก่าที่เคยสัญญา

ว่าจะมาฉลองวันเกิดกันทุกปี

เพลงประกอบฉากเป็นเพลง ของปาล์มมี่ - ความเจ็บปวด -

ดูไป น้ำตาคลอ ไม่ได้อินกับหนัง

แต่เพลงมันสะกิดความรู้สึก.. อีกครั้ง


...............................


กับบางประโยคที่ฟังทีไร สะกิดใจได้ทุกที

ฝุ่น - เธออยู่ที่ไหน คิดถึงเธอ จากนี้ไม่มีสิทธิเจอ จบแล้วก็เข้าใจ

แต่จะให้ทำยังไง เมื่อในหัวใจมันจดจำ


เธอรู้หรือเปล่า - เธอรู้หรือเปล่า ความเหงากับความว่างเปล่า ปวดร้าวเพียงใด

เมื่อต้องคอยแต่คนที่ไม่มีวัน.. กลับมา


...............................


ปล. แม่คะ ทำไมไม่เห็นมาเข้าฝันหนูบ้างเลย

หรือหนูฝันทุกวัน ฝันสะเปะสะปะ ฝันเรื่อยเปื่อย

จนแม่ไม่รู้จะมาเข้าช่วงไหนดี

พี่อ้อไม่ค่อยฝัน นาน ๆ ฝันที เลยดูมีสาระ น่าเชื่อถือมากกว่า รึเปล่าค่ะ


วันแม่ปีที่แล้ว หนูโทรหาแม่ เราบอกรักกัน

หนูยังเขียนลงบล็อกอยู่เลย จำได้

ปีนี้ และปีต่อ ๆ ไป หนูก็จะบอกแม่ในใจ

"หนูรักแม่ค่ะ"