วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

Moscow จ๋า.. พี่มาล๊าววววว



โดมหัวหอมสีสวยสดสะดุดตา  สะดุดใจ มากพอที่จะทำให้เราอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง
เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศรัสเซีย
( ซึ่งหนังสือท่องเที่ยวประเทศนี้มีขายน้อยเหลือเกิน ) 
แล้วเราก็ตัดสินใจได้ว่า สงกรานต์ปี 63 เราจะบุกรัสเซียกัน อยากไปมอสโควกับเซนต์ปีเตอร์เบริก
( ทำไมต้อง 63 ก็เพราะสงกรานต์ 62 มีสต็อคทริปญี่ปุ่นเอาไว้แล้วนาเซ่ )
ไปพร้อมกันในปีเดียวไม่ไหว หาตังค์ไม่ทัน
 แต่แล้ว ลาภลอยก็หล่นใส่เหมือนมงลง  มีผู้ใหญ่ใจดีส่งทัวร์ฟรีมาให้ 2 ที่นั่ง
 โอ๊ยยยย นี่ยังอิจฉาตัวเองเลยแกร๊
ของฟรีมาอีกล๊าววว ติดนิดเดียวตรงที่ พีเรียดที่ต้องไปมันยังเป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ
อุณหภูมิติดลบ และมีหิมะ ใจอยากไปช่วงที่แดดใส ๆ อากาศไม่หนาว ไม่เอาหิมะ
จะได้เดินเล่นได้ชิล ๆ ไม่ทรมาน แต่เอาวะ ลองเจออากาศติดลบดูสักที ไว้เป็นประสบการณ์

มอสโคว 5 วัน 3 คืน ไปกันเลยจ้า

Day 1 ทัวร์นัดเจอกรุ๊ปตอนสองทุ่ม เครื่องออกห้าทุ่มนิด ๆ
ลูกทัวร์ทั้งหมด 23 คน เป็นวัยรุ่น 2 คน นอกนั้นรุ่นใหญ่ละ
บินจากกรุงเทพไปประมาณ 7 ชม สายการบิน Mahan air



  โดนปลุกมากิน ตอนเวลาที่ควรต้องนอน เล็ม ๆไปอย่างละหน่อย ไม่มีอะไรอร่อยเลย

แวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเตหะราน ประเทศอิหร่าน    ในเอกสารเตรียมตัวจากทัวร์ สำหรับผู้หญิงให้เตรียมผ้าโพกหัวไปด้วย หรือถ้าใครใส่เสื้อมีhood ก็ใช้ได้ แล้วให้โพกหัวตั้งแต่ลงเครื่อง
รวมถึงตลอดเวลาที่อยู่ในสนามบินเตหะราน 
รอเปลี่ยนเครื่องประมาณ 3 ชม สนามบินเล็ก ๆ เดินวนแป๊บเดียวก็ทั่วถึง นั่ง ๆ นอนๆ รอไป




           ร้านค้าในสนามบิน ของกิน ของที่ระลึก

         รวมฮิตบรรดาถั่วเคลือบน้ำตาล



            น้ำผึ้ง มาเป็นรวงเลย


            อันนี้น่าสนใจ ครีมทาผิว กลิ่นมะม่วง
              มีกลิ่นกาแฟด้วยเฟร้ยยย



             magnet ช่างมีสไตล์




              ยอมใจในการจัดวางกระเป๋า



           ระเกะระกะสไตล์



   มีรองเท้าหนัง ลักษณะเหมือนผ่านการ test drive มาหลายถนนแล้ว


       เข้ามาใน gate ล่ะ      หามุมใครมุมมัน พักร่าง รอเวลาฟ้าสว่าง










ตอนมาถึง ฟ้ายังมืด เลยไม่รู้ว่า วิวด้านนอกสนามบินลิบ ๆ นั้น มันคือทะเลทราย






     อากาศตรงรันเวย์ น่าจะเลขตัวเดียวแล้ว  ขอบฟ้าลิบ ๆ คือเทือกเขา มีหิมะโปะนิดหน่อย





Day 2 นั่ง Mahan air ต่ออีกเกือบ 3 ชม ถึงมอสโควตอน 11 โมง ( เวลาช้ากว่าไทย 4 ชม ) 



             มื้อเช้า




สนามบินวนูโคโว Anukovo ต้อนรับเราด้วยหิมะโปรยปรายเป็นเกล็ดเกาะหน้าต่างเครื่องให้หนาวใจเล่น



ผ่าน ตม รับกระเป๋าเรียบร้อย ไกด์ให้เวลาลูกทัวร์แต่งองค์ทรงเครื่อง
โบกเสื้อผ้ากันให้หนาพอที่จะรับสภาพอากาศที่ต้องเผชิญ
วันแรก ต้อนรับเราด้วยอุณหภูมิประมาณ 3 องศา ฟ้าไม่มีแดด และลมกระพือเป็นระยะ ๆ

จุดแรกที่จอดให้เราลงไปสัมผัสความยะเยือกให้รูขุมขนกระชับ คือที่สแปร์โร่วฮิวล์
จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภาพของกรุงมอสโควได้ทั้งหมด
ซึ่ง… เราหนาวเกินกว่าจะมองเห็นความสวยงามของสิ่งใด
ถ่ายรูปได้ 2-3 แชะ วิ่งหาที่หลบลมหนาวแถวป้ายรถเมล์ ไกด์บอก ให้เวลาตรงนี้ 15 นาที 
แต่พี่คิดว่ามันเกินไป 5 นาทีก็พอแล๊ววววว พี่ไม่พร้อม บัสรีบวนกลับมารับชั้นเถิดดดดดด


มหาวิทยาลัยมอสโคว  อยู่ตรงข้ามจุดชมวิว




  ใส่เสื้อฮีทเทคไว้ 3 ชั้น เสื้อวูลอีกตัว ถมด้วยโค้ทตัวนอก กางเกง 2 ตัว ลมพัดที พี่นี้สั่นสะท้าน


จุดที่สอง  วิหารเซนต์ซาเวียร์  วิหารที่สำคัญของนิกายรัสเซียนออโทดอกซ์
ใช้ประกอบพิธีกรรมที่สำคัญระดับชาติ สร้างเป็นที่ระลึกถึงพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1
ที่สามารถขับไล่กองทัพนโปเลียนได้




เดินขึ้นบันไดกันไป สั่นกันไป
ตอนนั้นมีคิดในใจ ไม่เอาแล้ว ไม่มาแล้วววววว นั่งเครื่องก็นาน หนาวก็หนาว
ฟิลในการโพสท่าถ่ายรูปคือไม่มีทั้งนั้น หน้าชา ตาแห้ง จมูกแดง ปากสั่น
อยากจะซุกมือไว้ในเสื้ออย่างเดียวเลย แล้วชุดก็หนาเป็นหมี
ถ่ายยังไงจะสวยฟ๊ะ เหมือนเอาก้อนผ้าไปวางไว้ อ้วน ๆ กลม ๆ









                                                       





เดินวนไปวนมาสักพัก เออเว๊ย เริ่มชินหรือร่างมันชาแล้วก็ไม่รู้ได้ เอาวะ มาค่ะ สวยต้องสู้!! 
โพสกันไป จนกว่าไกด์จะตาม โพสกันไป จนกว่าบัสจะวนมารับ







ยิ้มกันหน้าตึง ๆ






หิมะริมทาง ที่เจ้าหน้าที่โกยให้พ้นทางเดิน  เหมือนปังเย็นภูเขาไฟมั้ย



รถยนต์ 95% ของเมืองนี้ สภาพเขรอะแทบไม่เห็นสีรถ 
 ไม่ว่าจะรถใหม่ รถเก่า มอมแมมเหมือนไม่เคยผ่านการล้าง
เดาว่าธุรกิจคาร์แคร์น่าจะไม่เวิร์ค 



 จุดที่สาม สิ่งที่ชั้นรอคอยยยยยยย

            เดินผ่านลีมูซีนคันยาว  ยาวเท่ารถบัสเลย





             เจอเธอล๊าวววววววว




โดมหัวหอมสีสวย  Saint Basil's Cathedral  ที่เราเฝ้ารอ 
สร้างโดยซาร์อีวานที่ 4  เพื่อฉลองชัยชนะจากพวกมองโกลที่มาจากเมืองคาซาน
ซึ่งชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียสามารถรวมชาติได้เป็นปึกแผ่น
วิหารนี้มีโดม 8 โดมล้อมโดมที่ 9 ไว้ตรงกลาง  เป็นหอคอยสูงรูปแท่งเทียนกำลังลุกไหม้บนปลายเทียน
เหมือนเป็นเครื่องบูชาเทพเจ้าบนสวรรค์  โดมหัวหอมนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ ปอสต์นิค ยาคอฟเลฟ

มีเรื่องเล่าว่า ซาร์อีวานที่ 4 นางปลาบปลื้มใจในวิหารอันนี้ม๊าก มาก เลยสั่งให้ควักดวงตาทั้ง2 ข้างของผู้ออกแบบออก เพื่อไม่ให้ไปสร้างสิ่งที่สวยงามกว่านี้ได้อีก  ทำไมร้ายยยยย ใจแคบไปนะท่านอะ

ของจริงมันสวยนะ สีสดใสเชียว  เสียดายฟ้าครึ้ม เย็นแล้วด้วย แสงหมดละ



จุดที่สามที่ไกด์ปล่อยเราตรงนี้คือ จตุรัสแดง (Red square)  ตรงกลางเป็นลานกว้าง ๆ รวมหลายจุดที่น่าสนใจ  มหาวิหารเซนต์เบซิล ห้างสรรพสินค้ากุม พระราชวังเคลมลิน




                                                           
ภายในห้างกุม Gum  ห้างที่เก่าแก่ที่สุดของมอสโคว


อ่านในรีวิว ว่ามาห้างกุม ต้องกินไอติมในห้างนี้ ไม่รอช้าค่ะ จัดไปคนละแท่ง 

 ถามว่า ไม่กินได้มั้ย ตอบเลยว่าได้ค่ะ ไม่ถือว่าพลาดสิ่งใด คือแบ่บ เค้าตักไอติมใส่โคนเอาไว้ แล้วแช่รอไว้ในตู้แช่ ขอบ ๆ โคนเลยเปียก ๆ ไม่กรอบ แล้วรสชาติไอติมก็อร่อยแหล่ะ แต่ไม่ได้ว๊าวนะ เราว่า มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ซื้อแล้วถือเดินกินกรุบกริบได้ภายในห้างนี้ นอกนั้นก็เป็นร้านที่ต้องนั่งกินจริงจังอะ 

เดินไปกินไป  อ่าว เจออีกหลายร้าน  เอ๊ะ นี่เราซื้อถูกร้านใช่ปะ  คือมันเหมือนกันทุกร้านปะแว๊







 display หน้าร้าน น่ารักดี  อยากมาช่วงคริสมาสต์เลย




ออกมานอกห้าง ด้านหน้ามีจัดงานออกร้านเล็ก ๆ แต่ดูเงียบเหงา หรือมันจะปิดแล้วไม่รู้

















ไกด์ไม่ได้ปล่อยให้เรามีเวลาเดินสำรวจตามอำเภอใจอะไรมากนัก เพราะได้เวลาอาหารเย็น ต้องไปร้านที่จองไว้  มากะทัวร์ก็เสียตรงนี้หล่ะ ขัดใจอ่ะ



                                     
  ระหว่างเดินไปที่บัส ผ่านลานกว้าง ๆ อันเดิม เปิดไฟวิบวับ  เห็นแล้วอยากมาช่วงคริสมาสต์ง่าาาา









บ้านเมืองนี้ ตึกใหญ่ ๆ สวย ๆ สถาปัตยกรรมงาม ๆ เริ่ด ๆ ทั้งนั้นเลย



ถนนยังมีหิมะคลุมทั่วเมือง

  นั่งบนบัสนี่ก็อุ่นใจ นึกว่าอยู่ กทม  รถติดเหมือนกันเลย




 ต้อนรับมื้อแรก ด้วยร้านอาหารท้องถิ่น

        อันนี้นางไม่ได้มาก่อการร้ายแต่อย่างใดนะฮะ นางแค่ไม่อยากสัมผัสความหนาวเลยสักส่วนเดียว


มื้อเย็นของเรา ร้านนี้ค่ะ


จุดฝากเสื้อโค้ท


ทางร้านจัดโต๊ะเตรียมรอลูกทัวร์ไว้แล้ว อาหารเป็นชุด ๆ ของใครของมัน









เริ่มที่สลัด ขนมปัง และซุป




                  แครอท ผักกาดขาว พริกหยวก ผักชีลาว


กินไปหลายคำ  ยังแยกไม่ออกว่าคือซุปอะไร



 กินไปสักพักใหญ่ๆ เมนคอร์สก็มาเสริฟ 
มื้อนี้เป็นหมูย่าง เคียงด้วยมันฝรั่งอบ ของหวานเป็นขนมปังก้อนกลม ๆ ไส้สับปะรดอบ



ปกติเราว่าเราเป็นคนกินง่ายมากๆนะ    แต่มื้อนี้ กินแค่ซุปไปครึ่งถ้วย
หมูไป 2-3 คำ เล็มๆ สลัดไปหน่อยนึง แค่นั้นเลย มันไม่ถูกปากเอาซะเลยอะ
บวกกับสภาพร่างที่นอนน้อย สมองตื้อ ๆ มึน ๆ ต่อมรับรสเลยยังไม่พร้อมทำงาน
น้ำจิ้มแจ่ว  น้ำพริกกุ้งเสียบของไกด์ก็ไม่ได้ช่วยให้ต่อมความตะกละมันทำงาน
เกรงใจที่ร้าน เค้าจะเสียจุยมั้ย กินเหลือตรึมเลย 


เดคคอเรทที่ร้าน


                        ตุ๊กตานั่นคือที่คลุมกาน้ำชา



จากร้านอาหาร กลับสู่ที่พัก ระยะทางไม่ไกล แต่ใช้เวลานานพอสมควร
มอสโคนี่รถติดจริงจังไม่แพ้กรุงเทพเลย ทริปนี้เราพักที่ ibis ทั้ง 3 คืน ไม่มีการเปลี่ยนโรงแรม
ก็ดีเหมือนกัน กระจายสัมภาระกันยาว ๆไป 
ห้องที่เราได้ อยู่สุดทางเดิน ห้องพัก ห้องน้ำ ถือว่ากว้างเลยแหล่ะ











ติดใจตรงโถอันนี้นิดนึง  ทำไมมันต้องสโลปตรงด้านหน้าก็ไม่รู้ได้  คือมันนั่งลำบากอะแกร๊
แล้วโถก็อันใหญ่ นั่งแล้วจะหลุดลงไปในโถ ต้องคอยยันเอาไว้ 



ก่อนแยกย้าย ไกด์บอกว่าแถวโรงแรม มี mini mart เดินไปไม่ไกล
เราว่า 3 คืนที่กลุ่มเราอยู่ที่นั่น mini mart นั้นน่าจะมียอดเพิ่มขึ้นหลายตังค์อยู่ เดินกันทุกคืน ช้อปวนกันไป ข้าวของเครื่องใช้ อาหาร ขนม ราคาถูกกว่าบ้านเราเยอะอยู่ ซื้อกันจนของหมด shelf
เป็นความหฤหรรษ์เดียวในละแวกโรงแรมที่จะหาได้

คืนแรก เข้านอนก่อนสี่ทุ่ม ชดเชยที่เมื่อคืนเหมือนไม่ได้นอน กักตุนพลังงานไว้สู้ภัยหนาวพรุ่งนี้



Day 3 นอนอิ่ม นอนอุ่น พร้อมสู้เว้ยยยยย
จากการประเมินความหนาวของเมื่อวาน วันนี้เราจึงต้องโบกเพิ่มเข้าไปอีก
ติดแผ่นแปะกันหนาวไคโระไว้ที่ตัวด้วย เตรียมถุงทรายร้อนเอาไว้ซุกมือด้วย
วันนี้เราต้องออกนอกเมืองไปที่เมือง Zagorsk ซึ่งก็น่าจะหนาวหนักเข้าไปอีก

อาหารเช้า มาตรฐาน ibis


    ปลื้มปริ่มกับมุมนี้ โยเกริ์ตหลากหลายรส  ชอบกินอันในเหยือก ข้น ๆ โรยคอนเฟลก หร่อย ๆ







       แยมหลากหลายสายพันธุ์



ลูกทัวร์กลุ่มนี้ดีงาม สูงวัยแต่ใจสู้ พร้อมเพรียง ตรงเวลา พร้อมลุยกันละ



        ตรงข้ามโรงแรม เป็นโรงเรียน หิมะเต็มสนามเลย


      รถรางสาธารณะ  มันทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่



sculpture  สวย ๆ ระหว่างทาง






    รถบัสยิ่งออกนอกเมือง หิมะยิ่งขาวโพลน ฟ้ายังคงไม่มีแดด เมฆเพียบ









Zagorsk  ซากอร์ส  ที่ซึ่งเต็มไปด้วยโบสถ์เก่าแก่ สวย ๆ ทุกอันเลย ชอบอะ 
โบสถ์แต่ละกันตั้งอยู่ติด ๆ กัน เดินเข้าอันนู้น อันนี้   เด๋วหนาว เด๋วอุ่น
อุปกรณ์กันหนาวรุงรังนุงนัง






ชอบฟิลที่หิมะปกคุลมหลังคาอ่ะ น่ารักดี















ไกด์เดินพาเข้าแต่ละโบสถ์ที่น่าสนใจ มีไกด์ท้องถิ่นพาทัวร์พร้อมอธิบายจุดต่าง ๆ
 นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะเกิน 50% เป็นทัวร์จีน
ซึ่งไกด์เราก็น่ารัก พยายามจัดตารางหลบทัวร์จีนสุดฤทธิ์


















โลงศพนักบุญเซอร์เจียส ผู้ก่อตั้งเมืองซากอร์ส 
ประชาชนที่เคารพจะเดินทางมาสักการะด้วยการจูบฝาโลงศพของท่าน













ด้านนอกโบสถ์ เจ้าหน้าที่ต้องโกยหิมะเพื่อเคลียร์ทางเดิน






ขาพี่ ขาพี่หล่ะ


ถ้ามันเป็นช่วงที่ต้นไม้ใบฟู  ดอกสวย ๆ เขียว ๆ คงจดจื้นนนนดีโนะ






































หิมะโปรยเบา ๆ  
ถามว่าควรลงไปนอนเกลือกกลิ้งโพสท่าสวย ๆ สัก 3-4 ชอทมั้ย 
โนววววว เปียกสิค่ะคุณ 








เจอหิมะทั้งที รูปพี่ก็จะเยอะ  ๆนิดนุงนะ แฮ่













เหมือนจะปล้นมากกว่าจะซื้อมั้ย



เอ็นดู ห่อมาพอ ๆ กะพี่เลย






 ดื่มด่ำกับบรรยากาศและหิมะขาว ๆ จนหนำใจ ได้เวลาอาหารเที่ยง ที่ตึกส้ม ๆนี้







ยังคงเป็นอาหารพื้นเมืองเช่นเคย แต่หน้าตาเปลี่ยนไปจากเมื่อคืน
หลัก ๆ ยืนพื้นด้วยสลัด ซุป ขนมปัง และเมนคอร์ส







สลัด มันคือมันฝรั่ง แครอท ถั่ว โรยด้วยใบผักชีลาว



มื้อนี้เป็นซุปใส



รสชาติดี เปรี้ยวนิด ๆ กินง่าย ตัดเลี่ยน ซดหมดถ้วยเลย


 เมนคอร์สมื้อนี้เป็นปลาชุบแป้งทอด เสริฟพร้อมมันบด ซึ่งโคตรซ้ำซ้อนกับสลัด นั่นก็มันฝรั่งไปแล้วปะว๊า





ของหวานเป็นแป้งเครป กินกับแยมแอปเปิ้ล ( กรอกตาแพร๊บ ) ชีวิตต้องการแป้งขนาดนั้นเลยหร๊ออออ



ออกจากร้านอาหาร หิมะโปรยปรายอีกแล้วจ้า 

      รถบรรทุกสีสดใส คอยเก็บหิมะไปทิ้ง



นกมันเก่งเนอะ ปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้ดีเชียว




หิมะตกล๊าวววววว











เนื่องด้วยทริปนี้ เรามีชายหนุ่มมาเดี่ยว นางเป็นทีมงานรายการท่องเที่ยว
บริษัทส่งมาเก็บภาพทำรายการ เราก็เพลิดเพลินกับเครื่องมือทำมาหากินของนาง
กล้องหน้าตาแปลก ๆ ตัวจิ๋ว ๆ ที่เพิ่งเคยเห็น 
ไกด์ก็น่ารัก พยายามเข้าอกเข้าใจนาง เพราะนางมาช้ากว่าชาวบ้านตลอด
มัวแต่เก็บภาพให้ได้ดั่งใจ หนาวก็ต้องทน
ไกด์น่ารักขนาดช่วยเจรจากับคนขับรถ ให้ช่วยจอดข้างทาง
เพื่อให้นางได้วิ่งลงไปเก็บภาพหิมะหนา ๆ ฟู ๆ แบบที่ไม่มีรอยเท้าย่ำ 

แหม่  ไหน ๆ ก็จอดแล้ว สาว ๆ ที่เหลือจะปล่อยผ่านก็จะดูไม่ให้เกียรติคนขับรถ
วิ่งกรูกันตามลงไปข้างทาง จัดมาคนละแชะสองแชะ แต่เจ้าตากล้องมันปีนขึ้นฟุตบาท วิ่งลุยหิมะเข้าป่าไปเก็บภาพหิมะและทิวสนด้านในนู้น ที่จริงจะเรียกว่าวิ่งคงไม่ได้ หิมะหนาเท่าเข่า ยากเกินกว่าจะวิ่ง
ใช้คำว่าตะเกียกตะกาย น่าจะเห็นภาพกว่า
อาชีพของนาง ฟังตอนแรก ดูเหมือนเป็นงานที่น่าอิจฉาจุง ได้ทำงานด้วย เที่ยวด้วย แต่ดูสภาพนาง+ภาระกิจตลอดทริปแล้ว เราว่าเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเรานี่แหล่ะ ดีละ



นี่คือยืนบนแบริเอ้อ ริมถนน  ขาก็สั้น ก็ยังพยายามจะปีนกันขึ้นไป






        สนุกสนานกันใหญ่เลย สว



อย่าเพิ่งเบื่อพี่ พี่ทนหนาวขนาดนี้ พี่ต้องโพสสสสส

           หิมะปลิวผ่านหน้า เบา ๆ

นี่ถ้าได้กล้องโปร ๆ  ตากล้องเจ๋ง ๆ คงได้ภาพสวย ๆ  เก็บไว้อัพได้ทั้งปีอะ 555
ของเราทั้งทริปคือใช้กล้องโทรศัพท์นี่หล่ะ
กล้องง่อย ๆ ของเรา ซัมซุง A7 เครื่องละหมื่น ก็พอไหวอยู่น๊า
รูปเราบางรูปก็เป็น note 8 ของคุณอ้อเค้า แจม ๆ มา รายนั้นไม่ค่อยถ่ายรูปใด ๆ เลย
ออกแนวต้องเรียกใช้ นางหนาว นางเก็บไม้เก็บมือไว้ในถุงมือซุกเสื้อโค้ทอย่างเดียว
จะให้ถ่าย ต้องโพสให้พร้อม  นางรอถอดถุงมือแล้วกดรัว ๆ  เลย

แต่เราว่า บางทีกล้องก็แค่ส่วนประกอบนึง  ภาพจะออกมาสวยไม่สวย  มุมมองคนถ่ายสำคัญกว่า




ไกด์ให้เวลาไม่เกิน 10 นาทีแค่นั้น จอดนานไม่ได้ แล้วเราก็กลับเข้าเมืองอีกครั้ง



ภาพจากหน้ากระจกรถบัส  หิมะหนักขึ้นเรื่อย ๆ



ตามสไตล์การเที่ยวกับทัวร์ ก็จะมีไฟลท์บังคับ ทริปนี้แวะร้านขายนาฬิกา
ในกลุ่มไม่มีใครเสียทรัพย์ นอกจากคุณป้าท่านนึง สอยไปฝากลูกชาย เป็นรุ่นลิมิเตท
นอกนั้นเดินผ่าน ๆ แวะฉี่แล้วขึ้นรถ 


     ผู้ไม่เสียทรัพย์ ยืนเตร็ดเตร่หน้าร้าน



โปรแกรมถัดไป ไกด์จะพาเราไปชมสถานีรถไฟของมอสโคว
ที่ขึ้นชื่อว่ามีความสวยงามอลังการแทบทุกสถานี มันมีที่มาว่าสมัยที่ยังสู้รบทำสงครามกัน ชาวบ้านใช้สถานีรถไฟใต้ดินในการหลบภัย แล้วต้องอยู่กันเป็นระยะเวลานาน เค้าจึงสร้างให้มีความวิจิตร สวยงาม เพื่อสร้างบรรยากาศไม่ให้หดหู่จนเกินไป

ไกด์แจกตั๋วรถไฟให้คนละใบ นัดแนะวิธีการและสถานีที่จะขึ้น จะลง กระเตงกันไปเป็นลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ เพราะถ้าคนนึงคนใดหลุดขบวนไป งานคงเข้าไกด์อย่างแน่นวล
แต่กรุ๊ปเราให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทุกคน ปฏิบัติตามคำชี้แจงอย่างเคร่งครัด
ทุกอย่างเลยราบรื่นตลอดทริป

การเที่ยวกับทัวร์ การเจอสมาชิกในกลุ่มนี่เหมือนเสี่ยงดวงนะ ต่างที่มา ต่างนิสัยกัน ต้องมากองรวมกันตั้งหลายวัน  คิดภาพว่าถ้าต้องเจอคนที่สายตลอด ๆ  ไกด์บอกอะไรไม่เคยฟัง ไม่เคยใส่ใจ  อันนี้ก็จะทำให้เสียบรรยากาศในการท่องเที่ยวไปเหมือนกัน

ถึงหน้าสถานีรถไฟฟ้าละ  ลงไปชื่นชมความงามด้านในกันดีกั่ว
























ตากล้องหนุ่มเดี่ยว กับสัมภาระทำมาหากินของนาง


เอาจริงๆ เราว่ามันก็ไม่ได้ว๊าวมากมายเหมือนตอนอ่านในหนังสือนะ
บรรยากาศก็อึม ๆ อยู่นานแล้วอึดอัดอะ โผล่ไปสู่โลกภายนอกกันดีกว่า 


จากทัวร์สถานีรถไฟใต้ดิน บัสพาเราไปปล่อยที่ถนนอารบัต
เป็นถนนคนเดิน สองข้างทางเป็นร้านค้า จริง ๆ มันควรจะมีร้านค้าตรงทางเดิน
แต่ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้อ วันนี้หิมะตก ไม่หนักมาก แต่เดินนาน ๆ ก็เปียก












 เราเลยกรูกันเข้าไปหลบหนาวในร้านขายของที่ระลึก ใช้เวลากันอยู่นานสองนาน ออกจากร้านฟ้าเริ่มมืด เราเลยวนกลับไปร้านอาหารที่ไกด์นัดแนะให้มาเจอกันเพื่อทานมื้อค่ำ

 ชื่อร้าน my my





 แอบเล็งโต๊ะอื่น ๆ มีคนกินอาหารญี่ปุ่นด้วย แต่อาหารที่ทัวร์จัดให้เรา เป็น set เหมือนเดิม T T
 สลัด ซุป ขนมปัง เมนคอร์ส ของหวาน เหมือนเดิมเป๊ะ
 แต่เมนวันนี้มีข้าวให้กินกับหมูหรือไก่ไม่แน่ใจชุบเกล็ดขนมปังทอด


ขนมปังสีน้ำตาล รสชาติเปรี้ยวนิด ๆ  เทคเจอร์คือหยาบขั้นสุด


สลัดหน้าตาเหมือนส้มตำ แต่รสชาติห่างกันคนละชาติภพ

ซุปใส มีแครอทสับ เนื้อไก่สับ  แล้วก็หน้าตาคล้ายเส้นอุด้งแบน ๆ สั้น ๆ 





น้ำจิ้มแจ่วช่วยชีวิต



พายเคลือบน้ำตาล 



ทอฟฟี่



ข้าวของเค้าจะเม็ดอวบ ๆ ร่วน ๆ เปรยกับพี่ ๆ ในโต๊ะว่า อยากให้เชฟที่นี่ได้รู้จักข้าวหอมมะลิ ขนมปังอาฟเต้อยู สลัดซิซเลอร์ บลา ๆๆ  เหลื๊อเกิน จะได้รู้ว่าของอร่อยมันคืออัลไลลลลล
แต่เอาจริงฝรั่งอาจจะถนัดกินขนมปังเนื้อหยาบ ๆ ก็ได้ ฝรั่งบอกเอเชียกินขนมปังเหมือนเบบี๋ นิ่ม ๆ แฉะๆ 


จบจากมื่อค่ำ ก็ได้เวลาฝ่ารถติด ๆ กลับที่พักอันแสนอบอุ่นของเรา
และไม่ลืมปิดทริปของวันด้วยการไปจับจ่ายใน mini mart ข้างโรงแรมเหมือนเดิม 
ได้มาคนละถุงสองถุง  สบายใจไทยแลนด์




          ระหว่างทางเดินไป mini mart




นางสอยหมวกจากร้านที่ถนนอารบัตมาใบนึง  ถูกใจจริงจัง



 Day 4   นอนเต็มอิ่มเหมือนเดิม อาหารเช้าเหมือนเดิม
วันนี้โชคดี ฟ้าใส แดดดี แต่ -13 องศากันไปเลยจ้า
เราว่าวันที่หิมะตก มันหนาวน้อยกว่าวันที่แดดออกแต่อากาศติดลบอีกอะ 

    จากหน้าต่างห้องพัก หิมะปกคลุมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน







หมวกแสนเกร๋ของนาง





นางมีหมวก เรามีเขานะเฟร้ยยย  



โปรแกรมวันนี้ ช่วงเช้าเราจะไปเยี่ยมชมพระราชวังเคลมลินกัน
อากาศหนาว สาว ๆ ฉี่กันทุกระยะ ขอให้ได้แวะ
เวลาฉี่นี่วุ่นวายนะ กว่าจะปลดพันธนาการทั้งหลายทั้งปวง 
คือมันหนาว มันมีลม เราก็ต้องห่อทุกอย่างให้มิดชิด รัดกุม มีแค่ลูกกะตาที่โผล่พ้นผ้า พอจะฉี่ มันก็ต้องถอดๆๆๆ เสร็จแล้วก็เริ่มห่อใหม่ ถอด ๆ ห่อ ๆ วนไปทั้งวัน












              ด้านนอกพระราชวัง











สมาชิกเดินตามไกด์ไทยและไกด์ท้องถิ่น เข้า ๆ ออกๆ ตามวิหารต่าง ๆ ภายใน 
ด้านในรั้วพระราชวังสวยนะ  แต่ถ้าไม่หนาวจะดีมากเลย คงได้ภาพสวย ๆ เพียบ 


































             ปืนใหญ่พระเจ้าซาร์


ระฆังพระเจ้าซาร์


ตั้งใจสร้างให้เป็นปืนใหญ่และระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ระฆังเดิมแขวนไว้บนหอคอย แต่ในปี 1701  
ไฟไหม้หอคอย แล้วตกลงมาแตกเป็นเสี่ยง  จึงมีการให้ซ่อมแซมโดยการหล่อขึ้นมาใหม่ แต่เกิดความผิดพลาด เทน้ำเย็นบนระฆังที่ร้อน เลยเกิดเศษระฆังแตก















เดินจนครบก็ทะลุออกมาประตูด้านหน้าจตุรัสแดง โผล่มาเจอโดมหัวหอมสีสวยอีกรอบ
รอบนี้ต้องจัด แดดดีซะขนาดนี้ รูปสวย ๆ ต้องมา
ขาดแค่ตากล้องคู่กายของเรา ไม่มีความพร้อมด้วยประการทั้งปวง  นางหน้าตึง จมูกชา
มือไม้แห้งเหี่ยวไปหมดละ ต้องถอดถุงมือ รีบกด รีบโพส รีบถ่าย แล้วเก็บไม้เก็บมือซุกความอุ่น




















                      โกยหิมะไปทิ้ง










จากจตุรัสแดง พาไปร้านอาหารเที่ยง T T เหมือนฉายหนังซ้ำ เราต้องเจออาหารท้องถิ่นอีกแล้วหรือนี่ ปกติเวลาไปทัวร์ เราจะรอคอยช่วงเวลาอาหาร เพราะมันจะเยอะ ๆ อลัง ๆ เป็นพวกชอบกับข้าวหลาย ๆ อย่าง แต่ทริปนี้ หดหู่โคด มันไม่อร่อยอ่า ตัวพี่งี้บางเลย กินประทังชีวิตเป็นงี้นี่เอง








เห็นก็รู้แล้วโนะ  สลัดมันฝรั่ง  ผักชีลาวก็มาเหมือนเดิม


กาแฟ  
ไกด์บอกว่า กาแฟที่นี่ไม่อร่อย คนนิยมดื่มชามากกว่า


ขนมปัง หยาบ ๆ กร่อย ๆ เหมือนเดิม



ซุปผัก  รู้สึกออแกนิกตั้งแต่ยังไม่ได้กิน



หมูอบ กับข้าวมัน

T T  พี่คิดถึงข้าวมันไก่เหลือเกินนนน


ของหวานมื้อนี้มาแปลก เป็นแอปเปิ้ลเขียวดอง เคลือบน้ำตาลไอซิ่ง คล้าย ๆ ฝรั่งดองบ้านเรา





กินไปกินมา สดชื่นดีเหมือนกัน ( ในที่สุด T T ฮือๆ ) 


เจ้าของร้าน 5555 


ช่วงบ่าย เป็นโปรแกรมชมฟาร์มหมาลากเลื่อนไซบีเรียนฮัสกี้  







พวกนางน่ารักดี แต่ดูผอม ไม่เหมือนหมาบ้านเรา หรือจริง ๆ แล้ว หมาต้องหุ่นแบบนี้แหล่ะถูกแล้ว 
มานุดเรานี่แหล่ะ เลี้ยงหมาให้เสียทรง กลายเป็นหมาอวบกันหมด 














 ลากเข้าป่าไป 1 รอบ ก็วนออกมา






นางน่าร๊ากกกกก

แต่นางดูเบื่อๆ  








กรงของพวกนาง


ตัวนี้เกเรนะ  แกล้งนักท่องเที่ยว ดึงผ้าพันคอเค้า สงสัยอยากได้มาพันให้อุ่น ๆ













ในทริป จะรวมการนั่งหมาลากเลื่อนคนละ 1 รอบ 
ใครยังไม่ถึงคิว ก็ไปเล่นสไลด์เดอร์รอไปพลาง ๆ มีทั้งอันสูง อันเตี้ย 
อย่างเรา ก็ต้องเล่น... อันเตี้ยสิค่ะ หุ หุ หุ อันสูงน่าจัวจะตาย เค้ากลัวไถลลงมาแล้วคว่ำ เด๋วท่าจะไม่สวย 



เล่นครบทุกคนแล้ว ก็เดินข้ามฝั่ง ไปตลาดอิสมายลอฟกี้ Izmailovsky   คือมันเป็นตลาดที่ขายของที่ระลึก  สินค้าพื้นเมือง งานฝีมือ  ของมือสอง  ทุกอย่างมันจะดีที่สุด ถ้ามันไม่หนาวเหน็บขนาดนี้ ไกด์บอกว่า ถ้าเป็นช่วงที่ไม่หนาวมาก จะมีร้านค้าเยอะกว่านี้ 


      ด้านซ้ายมือ ที่มีหอคอยเยอะ ๆ นั่นหล่ะ ตลาด



เข้ามาปุ๊บ ก็จัดเลย บาร์บีคิวเนื้อ กะ เห็ดย่าง






มีเครื่องเคียงเป็นผักดองกะขนมปัง  โอเคอยู่นะ อร่อยดี
















   เสียดาย น่าจะมาที่นี่ตั้งแต่วันแรก จะได้สอยอุปกรณ์กันหนาว ท่าจะกันได้จริง























ตุ๊กตาแม่ลูกดก  




ราคาขึ้นอยุ่กับความละเอียดและปราณีตของลาย









อันนี้อะไรไม่รู้ เดินผ่าน เห็นมันปิดอยู่ รูปทรงแปลกตาดี




สอยของที่ระลึกมาพอหอมปากหอมคอ แล้วก็วนกลับไปนั่งรอหลบความหนาวที่ รร ที่เป็นจุดนัดพบ 
มื้อเย็นวันนี้ ไกด์ยินดีนำเสนออาหารจีนนนนนนน โอ๊ยยยย มีความเปรมปรี พี่จะต้องอิ่มหมีพีมันเป็นแน่แท้ ในที่สุด พี่ก็หลุดจากคำว่าอาหารพื้นเมืองสักที T T 


         แสงสุดท้ายของวันที่ฟ้าใส ๆ ให้เราได้มีภาพสวย ๆ




ท๊ะดา… อาหารจีน 10 อย่างนั้น ประกอบด้วย 





ผัดหูหมู  ( โอเคนะ พี่ชอบ  กรุบ ๆ อร่อยดี แต่อยากได้น้ำจิ้มซีฟู๊ดสักนิด )



         ซูกินี่ผัด จืดๆ ( อยากส่งซอสหอยนางรมให้เชฟจุงเบย ) 




 ซุปเยื่อไข่ ใช่ค่ะ มันคือซุป แล้วใส่ไข่ให้มันเป็นเยื่อ ๆ ไข่ขาว รสชาติเหมือนกินกระเพาะปลาที่ดันทำโถจิ๊กโฉ่วหล่นใส่ เปรี๊ยวปรี๊ด  





             ไข่ผัดมะเขือเทศ และ ถั่วฝักยาวผัด ( อีกแล้ว พี่อยากให้เชฟรู้จักซอสหอย มันจืดสนิท )






ผัดวุ้นเส้น ขุ่นพระ วุ้นเส้นล้วน ๆ ไม่มีสิ่งใดเจือปนมาเลยจริง ๆ  
จานนี้พี่อ้อคีบอยู่คนเดียวเลย คนอื่น ๆ ไม่ไหวติง  
คือทางเราก็เข้าใจอ่ะนะว่านางชอบกินวุ้นเส้น  แต่อันนี้คือมันแบ่บ...

อีกสองสามอย่าง ไม่ได้ถ่าย เกรงใจสมาชิกร่วมโต๊ะ เป็นปลานึ่ง ข้าวผัด แล้วก็ของหวาน  
ผิดหวังเหลือเกินจ๊ะนวล
พี่คิดว่า พี่คงต้องไปสอยอะไรใน mini mart กินอีกแล้วหล่ะ 
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว เข้า รร เตรียมเก็บกระเป๋า กลับบ้านได้ 


Day 5 ตื่นมาพร้อมหิมะโปรยปรายแต่เช้า 


     ถ่ายจากหน้าต่างห้อง หิมะโปรยมาถึงราวระเบียงห้องเลย



สาวๆ ออกไปเก็บภาพหิมะหน้าโรงแรมกันหนุกหนาน ส่วนเรา ลี้ภัยไปนั่งอุ่น ๆ รอในรถ 
เนื่องจากเสื้อผ้าพี่ไม่พร้อม พี่ยัดขนเป็ดขนห่าน ฮีทเทคทุกเลเยอร์ลงกระเป๋าหมดแล้ว 
เหลือแค่เสื้อแขนยาวและแจ็คเก็ตเบา ๆ เพราะเด๋วก็ถึงสนามบินแล้ว ไม่อยากพะรุงพะรัง 



      ถ่ายบนรถบัส หิมะโปรยเกาะหน้าต่างรถ



ก็ยังดีที่เมื่อวานมีฟ้าใส ๆ มาให้เราได้เก็บภาพสวย ๆ กันได้บ้าง สลับกันไป 
โปรแกรมวันนี้ เดินทางทั้งวันเหมือนขามา 
ออกจาก รร ไปสนามบิน ไปรอเปลี่ยนเครื่องที่อิหร่านเหมือนเดิม 


    เช้าวันอาทิตย์ ที่หิมะโปรยปราย อะไรจะดีไปกว่านอนอุ่นอยู่บ้าน




           

     สงสารเจ้าหน้าที่ที่ต้องคอยเกลี่ยหิมะอะ   พี่ ๆ จะรู้จักคำว่า เหงื่อออก มั้ย



         วันหยุด ถนนโล่งดี   





นาน ๆ จะเจอรถไม่มีฝุ่นเกาะ  คันนี้คือเอี่ยมมากเลย






เห็นชอทนี้ นึกถึงสมัยตอนอยู่ออสฯ แล้วต้องไปยืนรอรถเมล์ด้วยอากาศหนาว ๆ  
มันทรมานเหมือนกันนะ




      ถึงแอร์พอร์ตล๊าววววว


ขากลับเกือบมีมวยกะทัวร์จีน มันแซงคิวแบบหน้าด้าน ๆ เราเลยเรียกตี๋หัวหน้าทัวร์จีนมาเจรจา นางก็ไปบอกลูกทัวร์นางให้นะ แต่บางคนก็ยังตีมึน เบียด ๆ แทรกๆ ในกลุ่มจีนด้วยกันเอง 
แล้วอิ ตม อิหร่านก็ทำงานห่วย ตม มีกันอยู่แค่ 2 ช่อง มันเปิดหน้าจอเซี้ยงไฮ้กะเซินเจิ้น  
พอถึงคิวคนที่เป็นไฟลท์ bkk มันเลยขี้เกียจเปลี่ยนจอ มันให้หลบให้พวกทัวร์จีนมาให้หมดก่อน 
ห่านนนนน บ้านแกทำงานกันงี้หรอ ของขึ้นสิคะ เจอจีนแซงคิวแล้ว ยังเจอ ตม ปญอ อีก 
ด่ามันทั้งจีน ทั้ง ตม เลยทีนี้ แขกเห็นท่าไม่ดี เลยรีบแบ่งช่องสำหรับ bkk ให้ 
ก่อนที่จะเกิดจราจลคนไทยไซด์ย่อมๆ ห่วยยยยยยยยได้โล่ห์เลย 

ถึงสนามบินสุวรรณภูมิอันแสนอบอุ่นด้วยแดดตอนสาย ๆ และรถที่ติดยิ่งกว่ามอสโคว  
เรื่องนี้พี่ไทยชนะเลิศศศ กลับถึงบ้าน จัดมาม่าต้มยำให้หนำใจ แล้วค่อยไปทำงาน 

บทสรุปของการเดินทางทริปนี้ ส่วนตัวชอบนะ บ้านเมืองเค้าสวย อยากมีเวลาสำรวจแบบทั่วถึงกว่านี้ ตอนอยู่บนบัส มีหลายจุดเลยที่อยากลงไปเดิน ไปถ่ายรูป วิวสวย ๆ เพียบ แต่อันนี้มันก็เป็นข้อเสียของการไปกะทัวร์อะแหล่ะ ไม่มีโอกาสให้เราได้อ้อยอิ่งทิงนองนอยได้ตามใจนัก 
ตอนหาข้อมูล เค้าบอกว่า หนุ่มสาวที่นี่หน้าตาดีขั้นสุด แต่สีหน้าจะเฉยชา ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ อาหารไม่อร่อย และที่สำคัญ มิจฉาชีพชุกชุมมากกกกก 
ซึ่งก็จริง เบ้าหน้าตามสไตล์ฝรั่ง ทุกอย่างชัด คิ้วเข้ม เบ้าตาลึก หน้าเรียว จมูกพุ่ง ตาสีสวย  

ภาษา เรายังไม่เจอความลำบากในการสื่อสาร อาจเพราะไปกะทัวร์เลยไม่ต้องไปเจรจากับใคร แต่พนักงานขายของใน mini mart แถว รร ก็ใช้ภาษาอังกฤษได้อยู่นะ 

อาหาร เป็นจริงดั่งรีวิว ใครกินยาก ๆ อาจต้องพึ่งพาแมคโดนัลประทังชีวิตรอด

มิจฉาชีพ ด้วยอ่านรีวิวมา เลยค่อนข้างระวังตัวเวลาเดินตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่รีวิวบอกว่าที่เซนต์ฯ จะต้องระวังกว่าที่มอสโคว เอาจริง ๆ ที่อื่น ๆ ก็ขึ้นชื่อนะว่าปะ อิตาลี ฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่งไทยเรานี่แหล่ะ ต่างชาติก็โดนพี่ไทยฉกทรัพย์ไปเยอะแยะ แค่เราต้องมีสติและระวังตัวเองให้ดี  
ทริปนี้ทั้งกลุ่มไม่มีใครเจอฉกทรัพย์นะ มีแต่เต็มใจควักกันรัว ๆ เมื่อเจอของถูก  

ค่าเงิน อันนี้ดีงาม เวลาซื้อของคิดง่ายมาก ให้หารครึ่ง อย่างของ 100 รูเบิล เงินไทยคือ 47 บาท 

ทั้งหมดทั้งมวล ถ้ามีโอกาส ก็อยากจิกลับไปซ้ำอีกสักที ^^
บะ บายยยยยย