วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

^ แมลง ^







แมลงอะไรไม่รู้ เจอมันอยู่ในห้องน้ำ





ปีกบาง ๆ ใส ๆ ดูบอบบางจัง





แต่แหม.. ปีกเป็นรูปหัวใจ ซะด้วย





เอิ่ม เอิ่ม ตั้งชื่อให้ว่า





' แมลงแห่งรัก ' ละกัน





^ ^

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พร 3 ประการ

มีใครดูละคร 'สูตรเสน่หา' มั้ยค๊า

มีอยู่ตอนนึง ที่อลินไปสปา แล้วไปแอบได้ยินห้องข้าง ๆ เม้าท์กัน

เรื่องการไหว้ขอพรเรื่องความรักจากพระตรีมูรติ

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยไปมาแล้วเช่นกัน



ครั้งนึง.... เมื่อสมัยที่ต้ายังอยู่เมืองไทย

จำได้ว่าเป็นช่วงต้นปี ( ที่เพิ่งรู้จักกับพี่อ้อได้ไม่นาน )

เย็นวันอาทิตย์ ต้าไปเดินเล่นแถวหน้าเวิลด์เทรด ( ตอนนั้นยังไม่เป็น CTW )



ผ่านพระตรีฯ เลยเดินแวะเข้าไปสักการะ ขอพร

โดยไม่ได้เตรียมดอกไม้แดง ธูปเทียนแดง

อย่างที่เขาว่ากันไปไหว้แต่อย่างใด

ก็ไหว้ปกติธรรมดา





จำได้ว่าขอพรไป 3 ข้อ


ข้อแรก... ขอให้ลูกมีความรักที่ดี

ข้อสอง... ขอให้ลูกมีคนรักที่ดี และรักลูกให้มาก มากกว่าที่ลูกรักเขา

ข้อสุดท้าย... ขอให้ลูกและคนรักได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว





วันถัดมา พี่อ้อโทรหาตามปกติ

ก็เลยเล่าให้พี่อ้อฟังว่าไปไหว้ขอพรพระตรีฯมา

พี่อ้อ : แล้วต้าขออะไรค่ะ

ต้า : ก็ขอให้ต้ามีความรักที่ดี

พี่อ้อ : จริงอ่ะ ( น้ำเสียงตื่นเต้นมาก )

ต้า : อืมมม ทำไมเหรอคะ

พี่อ้อ : ก็พี่เพิ่งส่งการ์ดให้ต้าไป พี่เขียนอวยพรไปว่า

"ขอให้ต้ามีความรักที่ดี' เหมือนกันเลย


.....................





ครั้งนึง.... เมื่อตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ

พี่อ้อเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่ต้าจะมา ก่อนที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน

ก่อนนอนทุกคืน พี่จะขอพรจากพระเจ้า

ว่า 'ขอให้พี่ได้มีโอกาสได้ดูแลต้า'


.......................





เราไม่รู้หรอก ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีจริงหรือเปล่า

เราไม่รู้หรอก ว่าสิ่งที่เราขอ มีใครได้ยินมั้ย

เรารู้เพียงว่า เราต่างตั้งใจที่จะให้มันเป็นไปแบบนั้น

และวันนี้.... ทุกๆคำขอ ก็เกิดขึ้นกับเราแล้วจริง ๆ


.....................




หากแต่ว่า เราไม่ได้เพียงแค่ขอ แล้วก็รอให้มันเกิด

เราต่างพยายามหาทางที่จะทำให้เราได้มีวันนี้



...................







ใครที่ยังคงรอคอยความรักที่ดีอยู่

ขอให้คุณโชคดี.. นะคะ

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Before X'mas 09



ผ่านไปแป๊บ ๆ จะสิ้นปีอีกแล้ว

ช่วงนี้ห้างฯ ร้านค้า ออฟฟิต รถเมล์ ร้านอาหาร บ้านพักอาศัย ฯลฯ

เริ่มตกแต่งด้วยไฟประดับ และต้นคริสตมาส

ชอบช่วงปลายปีแบบนี้จัง มันดูมีอะไรให้รอคอย

บรรยากาศก็ดูครึกครื้น พร้อมเฉลิมฉลอง







ชาวพุทธอย่างเรา ตอนอยู่เมืองไทย

ก็ไม่ได้อะไรกับเทศกาลคริสตมาสนี้เท่าไหร่


อาจจะมีปาร์ตี้จับฉลากแลกของขวัญกันบ้างในออฟฟิต

แต่พอมาอยู่ที่นี่ ถือเป็นวันสำคัญมากของคริสตศาสนิกชนเค้า

แทบจะสำคัญกว่าวันปีใหม่ซะอีก



หลาย ๆปีเข้า ก็รู้สึกอินๆ ไปบ้าง

และที่อินสุด น่าจะเป็นการรอลุ้นของขวัญจากสองสาวชาวคริสต์เนี่ยแหล่ะ

ว่าปีนี้ เราจะได้อะไรน๊อ










และแล้วก็หมดลุ้นไปหนึ่งคน เนื่องจากอุ๊รอให้ถึงวันคริสตมาสไม่ไหว

พอเลือกหาของขวัญไว้ในครอบครองได้แล้ว
ก็ตื่นเต้นเกินกว่าจะเก็บมันไว้ได้

ส่งมอบให้ต้าและพี่อ้อตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อน ( เร็วไปมั้ยน้องเอ๊ย )






ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นเรื่องปกติของอุ๊อยู่แร๋น
อย่างวันเกิดต้าปีก่อนนู้น ก็ได้ของขวัญล่วงหน้าตั้งหลายเดือน

พอถึงวันเกิดจริง ก็ยังจะมีมาให้ใหม่อีก ( เพื่อ? )


อุ๊ : พี่ อุ๊หาของขวัญวันคริสตมาสให้พี่ได้แล้วนะ เอาไปเลยมั้ย?

ต้า / พี่อ้อ : เร็วไปป่าว นี่มันเพิ่งพฤศจิเองน๊า

อุ๊ : มะเป็นไรพี่ อุ๊อยากให้แล้ว อยากรู้ว่าพี่จะชอบป่าว เอาไปเลยละกัน




ได้มาคนละสองชิ้นถ้วน

ชิ้นแรกของต้า เป็น Gift card
ใช้แทนเงินสดซื้อของได้ในห้างและร้านค้าที่ระบุ








ชิ้นแรกของพี่อ้อ เป็น gift card เช่นกัน
แต่เป็นของร้านค้าที่ขายพวกเกมส์และอุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์

ซึ่งยังไม่ทันจะได้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
วันถัดมาพี่อ้อเอาไปใช้เรียบร้อยตามเจตนารมณ์ผู้ให้

โดยเอา gift card ( มูลค่า$40 ) + บัตรส่วนลดพิเศษ 10 % ที่มีอยู่
+ แผ่นเกมส์เก่าที่ไม่เล่นแล้ว (เกมส์ Toys Story ที่เล่นไปแค่สองหน แล้วอ้างว่ามันไม่สนุก)

และเพิ่มตังค์อีก $13

ทั้งหมดนี้ ไปแลกกับแผ่นเกมส์ใหม่ล่าสุดที่เพิ่งออกมา

คิดดูสิคะเพื่อนผอง แผ่นเกมส์(แท้) ที่นี่ แพงได้อีก T T

กลับไปไทยเมื่อไหร่ ต้องรีบเอาเครื่องไปแปลง
จะได้เล่นกับแผ่นก๊อบได้สักที







ชิ้นที่สองของต้าเป็น shampoo & conditioner by Tony&Guy

ถูกใจมั่กๆ เพราะเพิ่งไปให้ผมถูกทำร้ายด้วยการทำสีมา







ชิ้นที่สองของพี่อ้อ เป็นแปรงสีฟันไฟฟ้า by Oral B








เพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้า วันถัดมา เราก็เลยโทรไปหาอุ๊

ต้า : โหล ๆ ทำไรอยู่ เย็นนี้ว่างเปล่า

อุ๊ : ว่างพี่ มีไรเหรอ

ต้า : มาเอาของขวัญมั้ย เตรียมไว้ให้แล้วเหมือนกัน

พี่อ้อบอกว่า พี่อ้อมั่นใจว่าอุ๊ต้องชอบ 100 %

อุ๊ : จริงเหร๊อพี่ เอาไงดี จริงๆก็อยากรู้อยู่

โอเค ๆได้พี่ เด๋วสองสามทุ่มอุ๊ขับรถไปหา







จริง ๆ ตั้งใจจะเก็บไว้ให้ตรงวันนั่นล่ะ แต่เกรงว่าอุ๊จะไปซื้อเองซะก่อน
เลยรีบให้ดีกว่า เห็นบ่น ๆ เพ้อ ๆว่าอยากได้นักหนา
แต่ด้วยอารมณ์ของคนเป็นแม่ ที่มีภาระนู้นนี่ให้คิดเยอะ

ความชอบส่วนตัวบางอย่าง จึงต้องถูกตัดทอนออกไปบ้าง
เพื่อเก็บไปใช้ในส่วนของลูกก่อน

ซึ่งความชอบของแม่ชิ้นนี้ กลายเป็นสิ่งที่คุณลูกโปรดปรานเหมือนกัน

เพราะชีไปขอแฟลตเมทอุ๊เล่นอยู่บ่อย ๆ

ก้นดำชอบเล่นเกมส์เลี้ยงหมา แล้วชีเลี้ยงซะดีเลย

ปล่อยให้หมากินขยะท๊างวัน ( คงคิดว่าเป็นตัวเอง ^ ^ )










ตอนก้นดำเห็นของขวัญ ทำตื่นเต้นดีใจ แต่ไม่ยอมให้แกะ

แย่งจากมือแม่เอาไปถือไว้ ถือสักพัก เอาส่งต่อให้ป้าอ้อ

ป้าต้าต้องอ้อนวอน+ขู่ บอกให้แกะเห๊อะ

ชีถึงยอมส่งให้ป้าต้า แล้วป้าต้าก็ส่งต่อให้แม่อุ๊ใหม่
ป้าต้าเลยเบี่ยงความสนใจชีไปที่การ์ดแทน

ถามชีว่า นี่ตัวอะไรเอ่ย

ก้นดำ : ควายยย

เอิ่ม เอิ่ม เยี่ยมมากเลยลูก มองกวางเป็นควาย เก่งได้อีก










อาทิตย์ถัดมา ถึงคิวของก้นดำบ้าง

ป้าอ้อเป็นคนไปหอบหิ้วสิ่งนี้ให้จาก K-mart

อุ๊บอกว่า เคยไปเดินดูเหมือนกัน แต่ยังไม่กล้าตัดใจซื้อ

ราคาใน K-mart = $80 ซื้อตอน sales เหลือ $45

ราคาใน Toys r us = $150 ถ้วน ไม่ลดแต่อย่างใด

ดีใจจัง พี่อ้อซื้อได้ของถูก ( ซึ่งนาน ๆจะมีสักที )

















หลังจากประกอบเสร็จเรียบร้อย







ก้นดำ ซึ่งวันนี้ชีมาในชุด...

ในชุด...

อะไรดีเนี่ย

ลูกกรอกดีมั้ย หรือไส้กรอกดีน๊า (รมควันด้วย)

อิแม่มันซื้อไว้เมื่อตอนกลับไทยช่วงเมษาฯ






ท่าโปรด





ดูชีจะชอบกับของขวัญทั้งสองชิ้นเป็นอย่างมาก

ของขวัญของอุ๊นั่น คาดว่าจะเสร็จก้นดำเป็นแน่แท้

ต้องขอลูกเล่นแล้วแหล่ะอุ๊เอ๋ย โฮะ โฮะ โฮะ









ดูมุ่งมั่นมาก














เวลาวางกะทะหรือหม้อลงบนเตา
มันจะมีเสียงฉ่าๆ เหมือนทำกับข้าวจริงๆ เลย







เครื่องปั่น ปั่นได้จริงด้วยน๊า เสียงดังแคร่ก ๆๆๆ
ขนมปังปิ้งก็มีดีดติ๊งด้วย






หลังจากชื่นชมกับของขวัญแล้ว ก็ได้เวลาออกไปหาอะไรหม่ำกันสักหน่อย








กิจกรรมระหว่างรออาหารของสองสาวต่างวัย



หน้าชี ทะเล้นได้อีก











รูปนี้หน้าตาขี้เมามั่กๆ เคลิ้มเชียว
ไม่รู้แอบไปจกไวน์โต๊ะข้างๆ กินมาป่าว



ท่านั่ง กุลสตรีเหลือเกินลูกเอ๊ย


ออกจากร้าน เดินผ่านวงดนตรีเปิดหมวก
อุ๊บอกให้ก้นดำเอาเหรียญไปใส่ในหมวกให้เค้า

ก้นดำซึ่งหวาดกลัวกับเสียงดัง ๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น

ลังเลอยู่พักนึง แล้วตัดใจวิ่งกำเหรียญไปใส่
( แต่ดูไปเหมือนจะเขวี้ยงซะมากกว่า )

แล้วรีบวิ่งจู๊ดออกมา ป้ามันเก็บภาพไว้ไม่ทัน ได้แค่ตอนวิ่งหางชี้ออกมาแล้ว



















ป้าอ้อซื้อปีก+ที่คาดผมผึ้ง ให้ชีใส่







ชีชอบมาก ร้อง Bee bee ตลอดทาง
ต้องขอให้ถอดตอนขึ้นรถ เพราะมันแน่นคับ Car seat นั่งไม่ได้






คืนนี้อากาศดี กะว่าจะเดินเล่นไปแถว Darling Harbour กันสักหน่อย

แต่ก้นดำไม่ให้ความร่วมมือ เพราะทางที่จะไปมันเป็นทิศเดียวกันกับ China town

ชีร้องโวยวายอยู่กลางถนน จะกลับบ้านลูกเดียว

"มะอาว น่าทาว มะอาว... กะบ้านเห๊อะ"

โวยวายอยู่อย่างนั้นจนคนเริ่มมองว่าอิลูกกรอกนี่เป็นไรหว่า



สุดท้าย สามสาว พ่ายแพ้ต่อลูกกรอก

โอเค๊ กะบ้านก็กะบ้าน
..............





ถ่ายคลิปก้นดำมา ไม่เข้าใจ ตอนถ่ายตั้งกล้องแนวนอนปกติ





แต่ไหงคลิปมันออกมาตะแคงงี้ละ T T






ได้วิธีดูคลิปตะแคงแบบนี้มาจากคุณhappy ว่า





ให้เอียงคอมดูนะค๊า สำหรับ notebook





ส่วนเครื่อง pc ก็เอียงหัวกันไปแล้วกันเน๊อ












ปล.

ต้ากับพี่อ้อ ยังคงเก็บงำของขวัญของตัวเองไว้

โดยที่พี่อ้อเผยไต๋มานิดนึงว่า ของขวัญที่พี่เตรียมไว้ให้ต้า

รับรองต้าต้องถูกใจ 95 % ( โอ้โห มั่นใจไปป่าวเพ่ )

ส่วนของต้า ก็มั่นใจเหมือนกันแหล่ะ ว่าพี่น่าจะชอบ ^ ^

25 ธันวา จะได้รู้กัน Ho..ho..ho





วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Tipping The Velvet




เดือนที่แล้ว ตอนที่ไปซื้อดีวีดีจากร้านไทยมาดูตามปกติ

พี่อ้อเหลือบไปเห็นหนังฝรั่งเรื่องนึง



ชื่อเรื่อง " Lesbian Vampire"




อืม... น่าสนใจ ก็เลยซื้อมา


ตอนซื้อ เราแอบคิดเอาว่าคืนนี้เรามีอะไรสนุก ๆดูกันแล้วสิ




ผ่านไปหลายวัน ถึงได้เปิดดู

ดูไปสักพัก พอ.. พอเถอะ




ทนดูต่อไปไม่ไหวแร่ะ
















หนังอาไร๊... ห่วยได้อีก

ไม่ได้เรื่องเลย ปัญญาอ่อนมาก อารมณ์เสีย








พอพูดถึงหนังเลสเบี้ยนแล้ว มีอีกหนึ่งเรื่องมานำเสนอค่ะ

เป็นหนังเก่า ออกมานานมากแล้ว แต่เผื่อว่าใครยังไม่ได้ดู

เป็นหนังที่พี่อ้อซื้อเก็บไว้ แล้วเอามาให้เราดูตอนมาที่นี่ใหม่ ๆ

เป็นหนังเลสเบี้ยนเรื่องนึงที่พี่อ้อชื่นชอบ พี่เค้าว่า

เรื่องนี้ภาพสวย ใช้การสื่ออารมณ์ของตัวละครด้วยภาพได้ดี

เช่น อารมณ์หึง ก็จะฉายไปที่คนกำลังทำกับข้าว

โฟกัสไปที่กะทะที่กำลังผัด และไฟที่ลุกโชติช่วง รุนแรง












Tipping The Velvet







เป็นหนึ่งในนวนิยายเรื่องเยี่ยม ของ Sarah Water

นำเสนอเรื่องราวในประเทศอังกฤษยุคละครเวทีเฟื่องฟูถึงขีดสุด
















อันนี้เป็นปกที่เรามีอยู่









เรื่องย่อ


แนน แอซลี่ย์ หญิงสาววัย 18 ปี

ที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวชนชั้นแรงงาน

เธอทำงานเป็นคนแกะเปลือกหอย ในร้านขายหอยนางรมของครอบครัว

เธอใช้ชีวิตอย่างราบเรียบเหมือนเด็กสาวชนบททั่วไป จนกระทั่งวันหนึ่ง

เธอได้มีโอกาสเข้าเมืองไปชมการแสดงละครเวที

และต้องมนต์สะกดของ คิทตี้ บัตเล่อร์ นักแสดงสาวสวย

ที่สวมบทบาทเป็นผู้ชายบนเวที แนนคลั่งไคล้เธออย่างมาก


ถึงกับไปดูการแสดง ของคิทตี้ทุกคืน





จนกระทั่งคืนหนึ่ง สิ่งที่แนนไม่เคยคิดฝันก็เกิดขึ้น

เธอได้พบและพูดคุยกับคิทตี้ ในห้องพักนักแสดง

ทั้งคู่คุยกันถูกคอ คิทตี้จึงชวนแนน ไปเป็นผู้ช่วยแต่งตัวให้เธอ

แนนและคิทตี้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน จนสิ้นฤดูกาลแสดง

คิทตี้ได้ รับข้อเสนอให้ไปเปิดการแสดงที่ลอนดอน

เธอจึงชวนแนนไปด้วยกัน แนนติดตามคิทตี้ไปลอนดอน

พวกเธอเช่าห้องอยู่ด้วยกัน และยังได้นอนเตียงเดียวกันด้วย

แนนรู้สึกเหมือนมีไฟสุ่มอก เมื่อคิทตี้เข้ามาใกล้และเวลาที่คิทตี้นอนกอดเธอ







การแสดงของคิทตี้ได้รับการตอบรับจากชาว ลอนดอนดีขึ้นเรื่อยๆ

และเธอก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นทุกที

แม้ว่าแนนจะภูมิใจและยินดีไปกับความสำเร็จของหญิงสาวที่ตนเองรัก

แต่เธอก็กลัวว่าความสำเร็จเหล่านี้ จะพรากคิทตี้ไปจากเธอ





คืนหนึ่ง ขณะที่คิทตี้ไปเจรจาธุรกิจกับเจ้าของโรงละคร

แนนซึ่งอยู่ ในห้องเพียงลำพัง ได้เอาเสื้อผ้าผู้ชายของคิทตี้มาสวมใส่

เมื่อคิทตี้กลับมาเห็น ก็รู้สึกทึ่งในความหล่อเหลาของแนน

ถึงกับดึงเธอเข้าไปจูบ และนั่นเป็นจูบแรกที่แนนได้รับจากหญิงคนรัก




วันรุ่งขึ้น คิทตี้พาแนนไปโชว์ตัวกับคุณบลิส เจ้าของคณะ

แนนจึงถูกวางตัว ให้เป็นนักแสดงคู่หูของคิทตี้

แนนถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้คล้ายผู้ชาย และต้องฝึกซ้อมละครอย่างหนัก

(ซึ่งในละครเธอได้โอกาสจูบคิทตี้ นับครั้งไม่ถ้วน)




การแสดงครั้งแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

ในคืนงานเลี้ยงฉลอง คิทตี้ไม่พอใจที่เห็นแนนออกไปเต้นรำกับหนุ่มดนตรี

อย่างสนุกสนาน และแนบชิด เธอเข้าไปบอกแนน ว่าจะกลับบ้าน

และเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากงานเลี้ยง แนนรีบวิ่งตามไป

และไม่เข้าใจว่า คิทตี้โกรธเธอเรื่องอะไร ทั้งคู่จึงได้ เผยความในใจกันในรถม้า




และคืนนั้นเอง ที่แนนได้สมหวังในความรัก

มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของแนน

แต่ความสุขก็อยู่กับเธอเพียงไม่นาน

เมื่อต่อมาแนนค้นพบว่าคิทตี้มีความสัมพันธ์เกินเลยกับเจ้าของคณะ

และทั้งคู่จะแต่งงานกัน แนนจึงต้องจากคิทตี้ ไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย




นับจากนั้น ชีวิตของแนนก็ระหกระเหิน บางครั้ง ยากไร้ถึงกับต้องขอทาน

และบางครั้ง ต้องเข้าไปผจญในสังคมชั้นสูงอันฟุ้งเฟ้อ

ในขณะนั้นเอง แนนได้พบกับฟลอเรนซ์ หญิงสาวที่สดใสและแสนดีคนหนึ่ง

แต่แนนกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าคู่ควรกับ ฟลอเรนซ์

เธอจึงหลบหน้า ไม่ไปพบฟลอเรนซ์อีก




ต่อมา แนนถูกไดอาน่า หญิงวัยกลางคน

ที่มีรสนิยมทางเพศแปลกประหลาดนำไปเลี้ยงดู

เธอได้อยู่ในคฤหาสน์หลังโต ได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศ และได้ใส่เสื้อผ้าราคาแพงลิบ

แต่สิ่งเดียวที่ไดอาน่าไม่เคยมอบให้คือ ความรัก ซึ่งแนนเองก็ไม่เคยต้องการจากเธอ

จนกระทั่ง ชีวิตของแนนพบกับจุดตกต่ำที่สุด คนเดียวที่เธอนึกถึงคือ ฟลอเรนซ์

หญิงสาวที่เธอรู้จักเพียงผิวเผิน แนนออกตาม หาฟลอเรนซ์จนเจอ

แต่ก็พบว่าฟลอเรนซ์ได้อาศัยอยู่กับราล์ฟ หนุ่มนักสังคมนิยม ผู้อ่อนโยน

และมีทารกน้อยคนนึง นอกจากนั้น ฟลอเรนซ์ได้แปรเปลี่ยนจากหญิงที่สดใสร่าเริง

เป็นคน ที่เคร่งครึมและเอาแต่ทำงาน แนนอาศัยอยู่กับฟลอเรนซ์และครอบครัว

ในฐานะแม่บ้าน และพี่เลี้ยงทารกน้อยซีริล



คืนหนึ่ง แนนกับฟลอเรนซ์ได้ออกไปเที่ยวบาร์กัน และมีคนจำแนนได้

จึงขอให้เธอร้องเพลงให้ฟัง เมื่อเจ้าของโรงละครที่อยู่ในบาร์นั้นได้ยิน

จึงเสนองานแสดงให้เธอ นอกจากนั้น เพลงที่แนนร้องยังทำให้ ฟลอเรนซ์

ประทับใจในตัวเธอ เป็นอย่างยิ่ง

ในคืนนั้นเอง แนนได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับฟลอเรนซ์




ในระหว่างที่ซ้อมละครอยู่ จู่ๆ คิทตี้ก็ปรากฏตัวขึ้น เธอขอให้แนน กับไปอยู่กับเธอ

โดยที่เธอจะยอมหย่ากับคุณบลิส แต่แนน เจ็บปวดเกินกว่าที่จะตกปากรับคำในทันที

อีกทั้งในขณะนั้น หัวใจของเธอมีแต่ฟลอเรนซ์ แนนรู้สึกกลัดกลุ้ม จนถึงวันที่ต้องขึ้นแสดง

และวันนี้เอง ที่เธอจะต้องเลือก...

^ ^



ลองไปหามาดูกันนะคะ


หวังว่าเพื่อน ๆ จะชื่นชอบ...เหมือนกับเรา ^^



วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ของเหลือ

Sat 21 November , 2009









กิจวัตรประจำวันหยุดของชีวิตที่นี่



วนเวียนอยู่แต่เรื่องอาหารการกิน

ภารกิจประจำวันของแม่บ้านจำเป็นอย่างเรา

(ใช่เซ๊ ก็ที่นี่มันไม่มีรถเข็นขายข้าว ขายก๋วยเตี๊ยวอร่อยๆ แบบบ้านเรานี๊)















ตอนเพื่อนมาเที่ยวบ้าน เปิดรายการเปรี้ยวปากให้เพื่อนดู


เพื่อน : โห อันนี้น่ากินจัง


ต้า : อืม คิดดูสิ ขนาดแกอยู่เมืองไทย


พอมาเห็นรายการแบบนี้แกยังอยากกิน แล้วช๊านละ T T



เพื่อน : แล้วแกจะไปซื้อรายการพวกนี้มาดูทำไม๊ ดูแล้วก็อยาก


ต้า : ก็ดูไว้เป็นไอเดียไง



เผื่ออันไหนอยากกินแล้วพอจะทำเองได้ ก็ทำกินเอง









เหมือนกับที่เวลาไปอ่านบล็อกเพื่อนๆ ไปกินตามร้านดังนู้นนี่


แล้วเอารูปมาลง เราก็แอบฉกเอาไปมั่วๆทำกินเองอยู่บ่อยๆ


ใช้ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง ก็กินๆกันไป เหอ เหอ ดีกว่าไม่ได้กิน


ชีวิตนี้หากไม่ได้กินอาหารไทย อาจขาดใจตายได้ (จริง จริ๊ง )















เสาร์นี้กินไรกันดีน๊า





พี่อ้อนำเสนอปลาทอด


โอเค ได้ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก จัดไป






อีกสักอย่าง ทำไรดีน๊อ


ไปคุ้ย ๆตู้เย็น




อ๊า.... เจอใบมิ้นท์ที่เหลือจากกุ้งมะนาว


( เริ่มเหี่ยว แต่ทิ้งไม่ได้ เป็นเงินทั้งน๊าน )


มีหมูสับเหลืออยู่ หอมแดงเหลือครึ่งลูก















ปิ๊งป่อง.... คิออกแร๊ว





ทำลาบหมูใส่วุ้นเส้นดีก่า


(ไอเดียจากร้านลาบกาฬสินธุ์จากบล็อกของคุณตั๊ก)





พริกป่นก็มีแล้ว ข้าวคั่วก็มีอยู่


อุปกรณ์พร้อม





ต้มน้ำ ลวกวุ้นเส้นที่แช่ไว้จนนิ่มแล้ว แล้วพักไว้



ต้มน้ำครึ่งถ้วย รอน้ำเดือด ใส่หมูสับลงไป



หมูเดือด ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำตาล มะนาว พริกป่น ข้าวคั่ว



ใส่วุ้นเส้นลงไป ใส่ใบมิ้นท์ลงไป















เรียบร้อย















วันนี้ขี้เกียจ...ทำสองอย่างพอ





v




v




v




v








ปลา snapper ทอดกรอบ









































เมนูของเหลือได้แก๊.....









ลาบวุ้นเส้นนนนนนน






......


......










ผลออกมาไม่ได้ดั่งใจ อยากให้มันมีน้ำใสๆ เจิ่ง ๆ

แต่พอใส่ข้าวคั่วลงไปแล้วมันหนืดๆ

ยิ่งพอใส่วุ้นเส้นไปปุ๊บ น้ำหายไปหมดเลย

ไม่เหมือนยำวุ้นเส้นแฮะ ทำไมอันนั้นทำให้น้ำเจิ่งๆได้หว่า





ว๊า... ก็กินกันไป เพราะยังไงก็ต้องกินอยู่ดี