วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

: คริสมาสต์ที่รอคอย :

อีกไม่กี่วัน ป้าต้ากะป้าอ้อ ก็จะได้เจอกับหลานสาวคนสวยกันแล้ว


ตื่นเต้น ตื่นเต้น ป่านนี้ ชีคงตัวสูงเกือบเท่าป้าอ้อแล้วมัง







































ไม่ได้เจอกันเป็นปี ไม่รู้จะยังจำป้า ๆ ได้รึป่าว

ป้าอ้อบ่นคิดถึงก้นดำตลอดเลย

กลับมาหลายวีค คงได้เล่นกะหลานเต็มที่



ป้าต้าอยากเล่นกะกลองแต๊ก

พ่อขนุนน้อยตัวอ้วน ท่าทางจะแน่นปั๊กเลยทีเดียว




วันก่อน แม่อุ๊โทรมาเล่าให้ฟัง

ว่าที่โรงเรียนก้นดำมีการแสดง

หนูน้อย Isobel ลูกสาวของลูกค้าเก่าของป้าต้า

และก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกะก้นดำ

ได้คัดเลือกให้แสดงเป็นคนขายพุดดิ้ง





ป้าต้า : เหรอ ๆ น่ารักจริง แล้วกีต้าร์ได้แสดงเป็นอะไรอ่ะ


แม่อุ๊ : ขำนำไปเนิ่นนานก่อนจะตอบ


แม่อุ๊ : กีต้าร์แสดงเป็น พุดดิ้ง!!!


555555555




ที่สุดอ่ะหลานป้า ได้แสดงเป็นพุดดิ้ง มีอุปกรณ์ให้สวมด้วย

ไม่รู้แม่อุ๊ถ่ายคลิปไว้ป่าว

แหม น่าเอามาประจาน เอร๊ย เอามาอวด


















See you then na ja ^^

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นู๋เปงสาวแร๊ววววว


30 ตุลาคม 2554






บล็อคที่แล้ว เปิดตัวสุดหล่อของแม่อุ๊กันไปแล้ว


ก็ทำให้ยิ่งคิดถึง "ก้นดำ" ของป้า ๆ


ตั้งแต่กลับเมืองไทยมา เลยไม่ได้เขียนถึงชีอีกเลย




วันนี้.. ครบปีพอดี ปีนึงผ่านไป เร็วจัง


ว่าแล้ว ก็ไปฉกรูปจาก facebook แม่อุ๊


เอามาอัพเดทความงามของก้นดำให้ป้า ๆ ได้หายคิดถึง


( นอกจากป้าต้า ป้าอ้อ มีใครคิดถึงชีมั้ยอ่า )






Helloooooo Everyone ^__^ คิดถึงนู๋ม๊ายคร่า








































นู๋เปงสาวแล้วน๊า สูงยาว เข่ายังดี


แต่แม่อุ๊บอกป้าต้าว่า


นู๋อ่ะโตแต่ตัว แต่ยังติงต๊อง ไร้สาระเหมือนเดิม



ป้าต้าบอกแม่ว่า ดีแล้ว


เห็นเด็กที่เมืองไทยแล้วปวดหัว แก่แดด แก่นเกินวัย




































ตอนไปวัดไทย ผู้ใหญ่ชอบถามว่า


นู๋มีแฟนรึยัง นู๋ไม่รุ้จักหรอก ฟงแฟนไรเนี่ย


รู้จักแต่บัตเตอร์ฟลาย ^_^


ใครจะไป ใครจะมา ฝากซื้อแต่บัตเตอร์ฟลาย ตล๊อด ตลอด









































วันนี้นู๋มาโชว์ดนตรีคร่า









แม่อุ๊เล่าว่า ชีปลาบปลื้มหอยทาก

ใส่กล่องกลับมาบ้าน

แล้วบอกว่า " So Cute eeee"

แปลกไปมั้ยลูกเอ๊ย







ผมยาว ๆ มันเริ่มพันกัน เจ็บเวลาแม่อุ๊หวี


เลยตัดซะเลย


สวยมั้ยคร๊าาาา







แต่งเป็นสโนว์ไวท์ ไปงานปาร์ตี้ที่โรงเรียนคร่า






มีอยู่ทีนึง แม่อุ๊พาไปเดินห้าง


แล้วมีบูทถ่ายภาพ


แม่อุ๊หลงกลการตลาด


จัดมาให้คุณลูกซะงามเงิบเลยเชียว


ปล. ป้าขวัญเอาภาพมาทำ Before & After


ป้าต้าเลยฉกมาให้ยล




















เปงไงล๊า พัฒนาการด้านความงามของนู๋

บอกแล้วไง ว่านู๋อ่ะ เปงสาวแว๊วววววว


วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สวัสดีคร๊าบบบ



29 ตุลาคม 2554


แท่น แทน แท๊นนนนนนน





ต๊ะเอ๋





สวัสดีค๊าบบบ ผมชื่อ เด็กชาย กลองแต๊ก


เป็นน้องชายสุดเลิฟของพี่กีต้าร์


( ยัยก้นดำของป้า ๆ นั่นหล่ะ )










เกิดและเบิกบานที่เดียวกับพี่สาวคนสวย


(แถมเกิดเดือนเดียวกันอีกด้วยนะ )












ถึงตอนนี้ ผมก็เติบโตมาได้ร่วม 4 เดือนแล้วล่ะ


ตอนอยู่ในท้อง แม่อุ๊คงอัดข้าวอัดน้ำเป็นอย่างดี


ทำให้ผมโผล่พรวดออกมาด้วยน้ำหนักตัวที่ 4 กิโลเชียวนะ


ตัวใหญ่ชนะเด็กฝรั่งไปเล๊ย










ตอนนี้ เลยตัวแน่นปั๊ก ปาไป 9 โลได้แร่ะ


แม่อุ้มกันแขนชาเลยทีเดียว หุ หุ







แม่อุ๊โกนผมไฟให้ เหม่งเป็นอิกคิวเลยเรา





















ใคร ๆ ก็ว่าหน้าผมสำเนาถูกต้องกับป๊ะป๋า


และก็เหมือนกันกับพี่กีต้าร์ตอนเบบี๋มั่ก ๆ


แต่ผมว่า เด๋วหน้าผมก็คงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ


กว่าจะเป็นหนุ่ม ผมจะหล่อให้ดู๊ วะฮ่ะห้า





ขอขอบคุณที่คาดผมแสนสวย by พี่กีต้าร์

( เอากระดาษทิชชูมาม้วนเป็นโบว์ให้น้อง )

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

: เปลี่ยน :

3 ตุลาคม 2554


เส้นทางการทำงาน เดินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง

แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเรียกได้ว่า " ดีขึ้น "

ถึงแม้ว่าจะสร้างความหนักใจให้ไม่น้อย

เพราะต้องกลับเข้าไปทำงานในออฟฟิต

ซึ่งตั้งอยู่แถวตลิ่งชัน

ที่จริง ก็เป็นสถานที่ที่คุ้นเคย ติดอยู่ตรงที่

มันไกลจากที่พักมว๊ากกกกกกก

นวมินทร์ ไป ตลิ่งชัน ไปกลับร่วม 80 กม

ไม่ใช่แค่ไกล แต่รถติดอีกตะหาก T T

หรือจะขายคอนโด แล้วไปซื้อใหม่แถวนั้นดี... มีใครจะซื้อมั้ยค๊า

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

: update 240954 :

24 กันยายน 2554


หายหัวไปพักใหญ่
ชีวิตวุ่นวืออยู่กับการทำงานประจำ และ ภารกิจต่าง ๆ ในวันหยุด



งานประจำ กับบริษัทเดิม ที่เราหายไป 4 ปีกว่า


กลับมาก็คล้าย ๆ กับการเริ่มต้นใหม่ เพราะเปลี่ยนสายงาน


เปลี่ยนทีมงาน เปลี่ยนที่ทำงาน
เปลี่ยนหน้าที่และความรับผิดชอบใหม่ๆ


จากเดิม เคยทำในออฟฟิต ก็เปลี่ยนมาประจำ Showroom แทน


โชคดีที่ได้น้อง ๆ ทีมงานที่ดี น่ารัก และเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีสัมมาคารวะ





ได้เจอลูกค้าหลากหลาย
วัยทำงาน คู่แต่งงานใหม่ เจ้าของธุรกิจ
ไฮโซ ดารา ไปจนถึงเชื้อพระวงศ์


บ้านราคาไม่กี่ล้าน ไปยันหลายสิบล้าน
ทำเอาอยากรู้ว่าทำมาหากินอะไรกันเน๊อ


ลูกค้าบางราย ก็สุดแสนจะน่ารัก สรุปแบบเร็ว คุยง่าย จ่ายคล่อง


บางรายก็เจ้ายศ เจ้าอย่าง บ้าอำนาจ เอาแต่ใจ
บางราย ต่อราคาซะแทบถอดใจ


รายที่ถือฮวงจุ้ย ถือนู้น ถือนี่ ก็น่าละเหี่ยใจ
จะออกแบบ จะจัดวางอะไรยังไงในบ้านต้องปรึกษาซินแสก่อน


ปัญหาเยอะ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกกับงาน



วันหยุด ก็ไปอยู่ร้านที่ท่าช้างกับพี่อ้อ


5 เดือนกว่าแล้ว สำหรับร้าน ๒๒ twentytwo


ร้านที่เป็นบทเรียนให้กับเรา 2 คน


เราตัดสินใจกันด้วยความรวดเร็ว


ไม่ทันได้ไตร่ตรองดูว่าภายใต้ความพลุกพล่านของผู้คนและนักท่องเที่ยวนั้น


สภาวะการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างไร


เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งว่าอยากทำ


สุดท้าย รายได้ กับ รายรับ มันไม่สอดคล้องกัน


เป็นอันต้องติดป้าย เซ้ง กิจการ ที่ลงทุน ลงแรงไป



ถึงแม้ร้านจะไปไม่รอด แต่อย่างน้อย เราก็ได้ลงมือทำ


ไม่งั้นเราก็ยังคงอยู่กับคำถามที่ว่า ถ้าทำแล้วจะดีมั้ย จะเวริ์คหรือเปล่า


ตอนนี้ก็ได้รู้แร่ะ ว่า... ถอย ยยย ดีกว่า 555




เนอะพี่อ้อเนอะ ^^

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

: กาญจนบุรี..ที่รัก :



ซื้อแพ็คเก็จที่พักไว้เมื่อตอนงานไทยเที่ยวปลายปีที่แล้ว

พอเห็นตารางวันหยุดเดือนนี้ เลยต้องรีบเอาแพ็คเก็จออกมาใช้

ก่อนที่มันจะชิงหมดอายุซะก่อน


ส่วนพี่อ้อ ก็ยอมปิดร้าน ไม่ขาย 2 วัน

หนีเมืองกรุง ไปชาจต์พลังกันสักหน่อย



19 มิถุนายน 2554


ออกจากคอนโดตั้งแต่ หกโมงกว่า ๆ

เริ่มstart กันแต่เช้า เพราะวันหยุดเรามีน้อย

อยากใช้ให้มันคุ้ม ๆ

อีกอย่าง เป็นวันจันทร์ด้วย ออกสายรถคงติดสาหัส

จากเส้น เกษตร-นิวมินทร์ ผ่าน แยกแคราย


ข้ามสะพานพระราม 5 รถติดนิดหน่อย


แวะประเดิมมื้อเช้ากันที่พุทธมณฑลสาย 2

ต้มเลือดหมู ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ คนละชาม อิ่มสบาย กำลังดี


ผ่านนครปฐม ราชบุรี ถึงตัวเมืองกาญจนบุรีตอนสาย ๆ


แวะลงไปเยี่ยมชม สุสานทหารสัมพันธมิตร



มีนักท่องเที่ยวต่างชาติบ้างเล็กน้อย


เคยแต่ผ่านไปมาหลายหน แต่ไม่เคยได้แวะเข้ามาดูสักที


สวยและสงบ


สังเกตุเห็นตามป้ายหลุมศพ
จะมีข้อความอาลัยจากบุคคลอันเป็นที่รักของเหล่าทหาร

ต่างชาติ ต่างที่มา แต่สุดท้าย ก็แค่นี้ อยู่ร่วมกันได้ อย่างสงบ

คนไทย ชาติเดียวกันแท้ ๆ ทำไมถึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ยากเหลือเกิน




เดินทางต่อ ไปยังจุดมุ่งหมายหลักที่พี่อ้ออยากมาเหลือเกิน



พร้อมมิตร สตูดิโอ


มาย้อนรอย ตำนานสมเด็จพระนเรศวรกันสักหน่อย


ตอนไปถึง นอกจาก staff แล้ว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวอยู่เพียงไม่กี่ชีวิต

ดูเงียบ ๆ แล้ง ๆ ร้อน ๆ

ฉากต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น ไม่แน่ใจว่าตั้งใจทำให้มันดูเก่าและโทรม

หรือมันโทรมตามระยะเวลา





ทำตัวเป็นแขกวีไอพี อยู่พักนึง ความเป็นส่วนตัวก็อันตธานหายไป

เมื่อมีขบวนรถบัส 3 คันใหญ่ มาถึง

ทุกคนใส่เสื้อเหมือนกัน เห็นโลโก้แว๊บ ๆ
ว่าเป็น อบต จังหวัดอะไรสักอย่าง


ความสนุกของเรา ลดลงไปหลายเปอร์เซ็นทีเดียว



มากันเยอะ เลยทำตัวประหนึ่งเป็นบ้านตัวเอง เอะอะ เสียงดัง

ตะโกนส่งสำเนียงโหวกเหวกกันไป

เราต้องพยายามเดินชม และถ่ายรูปให้เสร็จสิ้น
ก่อนบรรดาทัวร์จะตามเข้ามา

เหมือนเที่ยวไป หนีอะไรไป เหอ เหอ



ห้องเก็บเครื่องแต่งกายของเหล่าทหาร

ซะหน่อย ^^

โรงเตี๊ยม

ใช้เวลาอยู่ที่นี่ นานพอสมควร ชมจนครบ ก็ได้เวลา มุ่งหน้าสู่ที่ต่อไป

ออกจากพร้อมมิตร บ่ายโมงนิด ๆ วกกลับเข้าเมือง

เพื่อที่จะไปหม่ำมื้อเที่ยงกันที่ร้าน คีรีธารา

ต้าหาข้อมูลก่อนเดินทางมาจากอินเตอร์เน็ต

ว่าเป็นร้านที่อาหารอร่อย บรรยากาศดี ราคาไม่เวอร์มากนัก

แล้วก็ไม่ผิดหวัง





รสชาติอาหารไม่ถึงกับขั้นเทพ แต่ก็จัดว่าผ่าน

บรรยากาศดี แม้ว่าเราจะไปกินกันในช่วงบ่าย

ถึงแม้ไม่ได้เห็นวิวแม่น้ำยามเย็น แต่ก็แลกกันกับความสงบ ไม่วุ่นวาย

เพราะแขกในร้าน มีเพียงโต๊ะใหญ่ร่วม 10 คน หนึ่งโต๊ะ และโต๊ะเรา

อาหารได้เร็วมากกกกก

ราคาอาหาร สมเหตุสมผล

ถือว่าร้านนี้ผ่านค่ะ ถ้ามีโอกาส คงจะลองกลับมาใหม่



วิวค่ำ ๆ คงสวยไปอีกแบบ


อิ่มจนพุงตึงแล้ว เดินย้อนไปชมสะพานกันสักหน่อย
จากวิวสะพาน เห็นร้านนี้ ที่จริงทำเลจัดว่าดีมาก
แต่การแต่งร้านไม่สวย เลยทำให้ดูไม่โดดเด่น
เหมือนนั่งกินข้าวในโรงอาหาร มากกว่าร้านริมน้ำ
เสียดายทำเล


หกสิบกว่ากิโลจากตัวเมือง ขับยิงยาวสู่ อำเภอไทรโยค ที่พักของเราคืนนี้

ระหว่างทาง เจอฝนโปรยปรายบ้างเล็กน้อย เป็นระยะ ให้รู้สึกไม่แห้งแล้ง

สองข้างทาง เป็นต้นไม้ใหญ่ สลับกับทุ่งข้าวโพด ท้องนา และภูเขา

ถนนสายเล็ก ๆ ของจังหวัดนี้ เป็นที่ที่ให้ความรู้สึกเติมเต็มดีจัง

บ่ายสามโมงหน่อย ๆ ก็ถึงที่หมาย

เห็นป้าย River kwai village อยู่ริมถนนใหญ่ ชัดเจน

พอเลี้ยวซ้ายเข้าไปปั๊บ

โอ้โห ชอบเลยอ่ะ

ถนนเส้นเล็ก ๆ คดไปเคี้ยวมา เหมือนเวลาขับขึ้นลงเขาใหญ่เลย

เข้าไปลึกพอสมควร กว่าจะถึงตัวโรงแรม



สไตล์ของห้องและที่พัก ดูไทย ๆ และโบราณไปสักหน่อย


แต่พอเข้าใจได้ว่าคงเปิดมานานหลายปี
ช่วงที่เปิดแรก ๆ ที่นี่คงจี๊ดสุดแล้วในยุคนั้น


ตามแพ็คเก็จ เราจองห้อง River Wing เอาไว้

แต่พอ bell boy พาไปถึงห้องพัก
กลับกลายเป็นห้อง Mountain Wing


เลยแจ้งไปถึงข้อผิดพลาด


ทาง Reception เลยอัพให้เป็นห้อง Royal Wing แทน


ห้องใหญ่ ระเบียงใหญ่ เห็นวิวธรรมชาติสุด ๆ


ครบทั้งแม่น้ำ และ ภูเขา
วิวจากระเบียงห้อง


เก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็ออกไปเดินสำรวจบริเวณที่พัก

ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างเยอะ ให้ความรู้สึกร่มรื่นและเย็นสบาย

มีสระว่ายน้ำ 2 โซน มีห้องรับรอง ห้องอาหาร ห้องนวดแผนโบราณ

และสิ่งอำนวยความสะดวกตามที่ควรจะมี


เดินชมจนทั่วแล้ว ก็กลับมาเอนหลังกันที่ห้องสักหน่อย

ให้อาหารย่อยอีกสักนิด จะได้ลงไปใช้บริการสระว่ายน้ำ

เท่าที่สังเกตุ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นแขกคนไทย

ส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติซะมากกว่า
พี่อ้อถูกใจ สไลด์เดอร์ แรงและเหวี่ยง


มื้อเย็น ลังเลว่าจะกินในโรงแรมดี หรือออกไปข้างนอกดี

รู้สึกเอาว่า อาหารของโรงแรมต้องไม่โดนใจแน่เลย

คิดได้ดังนั้น เลยตัดสินใจขับรถออกจากวนอุทยาน เอ๊ย โรงแรม

ย้อนกลับไปทางน้ำตกไทยโยคน้อย แป๊บนึงก็ถึงที่หมาย

เห็นป้ายร้านชัดเจนอยู่ริมถนน

ครัวเรณู หาข้อมูลมาจากในเน็ต ว่าร้านนี้อาหารอร่อย และถูก

ข้อดีของการเที่ยววันธรรมดา ร้านโล่ง สั่งปุ๊บ ไม่นานก็ได้หม่ำ

จานแรก คะน้าผัดปลาเค็ม รสชาติดีทีเดียว
ไม่เค็มเกินไป ตามด้วยยำอะไรสักอย่าง
จำชื่อไม่ได้ หน้าตาคล้ายยำสามกรอบ


อันนี้ไม่ค่อยปลื้ม หรือเป็นเพราะไม่โปรดของทอดสักเท่าไหร่
รู้สึกมันอมน้ำมัน กินไปชักเลี่ยน


ปิดท้ายด้วยกุ้งแม่น้ำอบวุ้นเส้น อันนี้อร่อย
สมเป็นถิ่นวุ้นเส้น เหนียวนุ่มกำลังดี


อ่านมาว่าร้านนี้ราคาย่อมเยาว์
เลยลองประเมินราคากันดูว่าน่าจะสักเท่าไหร่


คิดว่าประเมินต่ำแล้ว เช็คบิลออกมา ต่ำกว่าที่คิดไว้อีกอ่า ><


อิ่มท้องแบบสบายใจ สบายกระเป๋า ก็พร้อมกลับเข้าป่ากันต่อ

กลับมานอนอืด ๆ ดูทีวีกันไป

อากาศที่นี่เย็นสบาย แบบที่แทบไม่ต้องเปิดแอร์เลยก็ยังได้

หมดไปหนึ่งวัน พรุ่งนี้ยังมีกิจกรรมรอเราอยู่แต่เช้าเลย ^_^
....................................


8 โมงเช้า ตื่นปุ๊บ


ลงไปใช้บริการห้องอาหารปั๊บ

breakfast ง่าย ๆ ตามที่โรงแรมจัดไว้ให้



9 โมง ลงไปรอที่ท่าน้ำ พร้อมสำหรับกิจกรรมวันนี้

เราซื้อแพ็คเก็จของ Rock Valley Hot Spring & Fish Spa เอาไว้ด้วย


นั่งเรือหางยาวจากท่าน้ำที่พัก ไปประมาณ 5 นาที


แค่เห็นสถานที่ ก็ปิ๊งซะแล้ว ไปเจอเจ้าหน้าที่ ก็น่ารักเชียว

ต้อนรับด้วยชาหอม ๆ และให้คำแนะนำการใช้บริการ







ทำความเข้าใจเรียบร้อย ก็พร้อมเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย

เป็นผ้าถุงลายไทย ๆ
ห้องอาบน้ำกลางแจ้ง


อาบน้ำชำระร่างกาย แล้วก็เริ่มต้นด้วยบ่อที่ 1

บ่อแรกเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ อุณหภูมิ 38-40 องศา

แช่สักพัก ก็ย้ายไปบ่อที่ 2 อุณหภูมิ 40-42 องศา

(รู้สึกตัวเองเหมือนไก่ต้มไหว้เจ้าเลย) แช่จนคิดว่าเราคงจะเริ่มสุก

แล้วก็ย้ายไปบ่อ Fish spa

บ่อนี้พี่อ้อชอบ แต่ต้าไม่ปลื้มอ่ะ

พอมันเริ่มกัด ๆ ตอด ๆ ก็ทนไม่ไหวสักที

จักกะจี๊จนทนไม่ได้ เผลอชักเท้ากลับตลอด

ปล่อยให้พี่อ้อโดนแทะเล็มต่อไป

ต้าย้ายไป step ต่อไปดีกว่า

บ่อชารางจืด ชาจีน

น้ำเป็นสีเหมือนน้ำชา หอม ๆ อุณหภูมิ 38-40 องศา

แช่จนเบื่อๆ แล้วก็ย้ายไปบ่อสุมนไพรธรรมชาติ ขมิ้น ไพร อะไรประมาณนั้น

แล้วปิดท้ายด้วยบ่อน้ำแร่ธรรมชาติที่อุณหภูมิปกติ
เพื่อเป็นการปิดและกระชับรูขุมขน

แล้วก็ไปอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นอันเสร็จพิธี

ทั้งหมดทั้งมวล ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

เสร็จแล้วก็นั่งเรือหางยาวแบบเดิม กลับที่พัก เพื่อ check out

อำลาที่พักด้วยความรู้สึกสบายผิว สบายตัว แต่หิว


หยิบโพยขึ้นมาดูร้านต่อไป
คัดมาแต่ร้านที่อยู่ในเส้นทาง จะได้ไม่เสียเวลา

"บ้านริมแคว แพริมน้ำ"

เพิ่งรู้ว่าไม่ได้เป็นร้านอาหารอย่างเดียว แต่มีที่พักด้วย

ไปถึงตอนเที่ยงกว่า ๆ ตกใจในความเงียบ

เงียบจนนึกว่าร้าง ไม่มีคนเลย

รีบสั่งอาหารอย่างไว ระหว่างรอก็ถ่ายรูป ชมวิวกันไป ฆ่าเวลา

ถ่ายรูปจนพอใจ นั่งรอแล้ว รออีก อาหารยังไม่มา

20 นาทีผ่านไป เริ่มไปถามไถ่ ว่าทำไมนานจัง ลูกค้าก็ไม่มี

ได้ความว่า ช่วง 10 นาทีแรก คงไปตามหาแม่ครัวอยู่
(สงสัยไม่คิดว่าจะมีลูกค้า )


40 นาทีผ่านไป รถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง มาพร้อมกับเมนูที่สั่งไป

ยำวุ้นเส้น กับปลาคังทอดน้ำปลา ใช้ wrap ห่อมากับจาน
แต่ต้มยำนี่ ใส่ถุงมาเลยเชียว

คาดว่าคงไปทำอยู่ในครัวโซนที่พัก แล้วเอามาส่ง

อาหารรสชาติใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าต้องมาแล้วเจอแบบนี้อีก
ก็ไม่ไหวนะ ขอบาย ขี้เกียจรอ


หายหิวแล้ว ก็เดินทางกันต่อ เข้าเมืองไปทำธุระนิดหน่อย

หลงทางอยู่พักนึง กว่าจะถึงที่หมาย

บ่ายสามโมงครึ่ง เสร็จธุระเรียบร้อย

เห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ไม่อยากกลับไปเจอช่วงเลิกงาน รถติด

พี่อ้อเสนอว่าอยากไปสวนผึ้ง ราชบุรี

เลยถามทางไปจากคนแถวนั้น แล้วก็ขับตามคำบอกไปเรื่อย ๆ

ขับไป ถามไป ขับไป ถามไป

ทางที่บอก ไม่ได้เป็นเส้นทางหลวง
แต่เป็นทางกันดารหน่อย ๆ

วนอยู่นาน ไม่ถึงสักที

ชักละเหี่ยใจ เปลี่ยนใจไม่ปงไม่ไปมันแร่ะ กลับกรุงเทพดีกว่า

ถามหาทางกลับกรุงเทพแทน

โผล่ออกมาเจอ ท่ามะกา

ต๊ายย กลายเป็นว่า ขับตั้งนาน
มาโผล่ห่างจากจุดเริ่มต้นไม่กี่กิโล ทำไปเพื๊อ??



มื้อเย็น แวะฝากท้องที่ตลาดหน้าองค์พระปฐมเจดีย์


เคยดูรายการพาเที่ยว มีร้านขนมหวานเจ้านึง ออกทีวีบ่อย ๆ

ลองอุดหนุนขนมเปียกปูนมาชิมดู
อร่อยดี แต่ป้าคนขายหน้าดุ๊ ดุ


อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็พาพุงเต่ง ๆ กลับสู่เมืองกรุงโดยสวัสดิภาพ




.................................





กาญจนบุรี เป็นจังหวัดในดวงใจ
ที่พี่อ้ออยากจะหนีเมืองกรุงมาใช้ชีวิตอยู่

ด้วยที่ไม่ไกลกรุงเทพมากนัก
มีธรรมชาติ มีป่า มีเขา มีน้ำตก มีนักท่องเที่ยว

แต่มีข่าวให้เริ่มหวั่นใจบ้าง ก็ตรงที่เป็นรอยต่อของเปลือกโลก

เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยธรรมชาติ

ต้องคิดและกังวล เพราะถ้าเราย้ายมาลงหลักปักฐานกันแล้ว

หากเกิดสิ่งใดขึ้นมาจริง ๆ ทุกอย่างคงยากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง


แต่ถึงไม่ได้อยู่ ก็จะหาโอกาสกลับมาเที่ยวอีก
เพราะ I Love you นะ กาญจนบุรี