วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ลอดช่อง @ สิงค์โปร์

June 08 , 2015


วันสุดท้ายแล้ว   เริ่มต้นวันทุกอย่าง เหมือนเดิมอย่างเมื่อวาน 
นั่งรถเมล์ป้ายเดิม สายเดิม ลงที่เดิม กินข้าวที่เดิม
และ... พี่อ้อเลือกกินเมนูเดิม เอร๊ยยยยย เค้าถูกใจของเค้าจริง ๆ 
พี่แกบอกว่า ร้านที่บ้านเรา อร่อย แต่กินแล้วหิวน้ำมากมาย
ร้านเค้าใจป้ำ ไม่หวงผงชูรส 
แต่ที่นี่ กินแล้วไม่กระหายน้ำ อร่อยแบบรู้สึกดี
ผงชูรสเค้าคงแพง คงแอบหวงไว้กินเอง 

วันนี้เราเลือกลองข้าวมันไก่ที่ใคร ๆ เค้าว่ามาสิงค์โปร์แล้วต้องกิน


                                 มาเป็นเซ็ต มีผักน้ำมันหอยมาให้ด้วย



















คือ ส่วนตัวเลย กินข้าวมันไก่แถวบ้านก็ได้นะ
ถูกปากคนไทยฝ่า เชื่อเค้าเห๊อะ


เมื่อวาน แผนล่ม เพราะฝนพรำ วันนี้หล่ะ หนักกว่าเมื่อวาน
หมายถึงฝนนั่นหล่ะ ตกหนักกว่าเมื่อวานอี๊กกกกกก
แต่ the show must go on  คืนนี้จะกลับแล้ว ตั๋ว 62$ แหน่ะ
ต่อให้มีพายุมาก็ต้องเข้าไปแมะ

จะว่าไป ก็ไม่เลวร้ายนัก ฝนเริ่มหยุดตอนไปถึงทางเข้า
มีปรอย ๆ พรำ ๆ ให้ฉ่ำเย็นเป็นระยะ ๆ 
สลับกับมีแดดโผล่มาบ้างให้พอถ่ายรูปสวย ๆ 


วันนี้วันจันทร์ แต่นักท่องเที่ยวก็ยังแน่น
เห็นคิวแต่ละจุดก็ถอดใจ
อันแรกที่จับพลัดจับพลูได้อยู่หัวแถว ปราสาทของเชร็ค














เป็นครั้งแรกสำหรับหนัง 4D
ตอนเข้าไปก็ไม่ได้สังเกต   เริ่มรู้สึกตัวตอนที่เก้าอี้มันโยก 
พี่อ้อขำ เพราะเราดันหันไปมองคนข้างหลัง
นึกว่ามีคนเตะเก้าอี้เล่น
จนมันเริ่มโยกรุนแรงตอนฉากควบม้า
แถมมีน้ำมูกของเจ้าหญิง สาดกระเด็นโดนนั่นหล่ะ ถึงได้เข้าใจ


อีกอันนึง  เป็นการแสดงจากหนังเรื่อง Water world





เวลาที่เหลือก็ เดินให้ทั่ว ๆ ถ่ายรูป ชมบรรยากาศ






























รุ่นพี่แปลกใจ ทำไมอ้อไม่เล่นเครื่องเล่นหล่ะ
อ้อกลัวความสูงอ่ะพี่
อ๊าววววว   แล้วมาเที่ยวสวนสนุกทำไม 
อ้อไม่ได้ชอบเล่นเครื่องเล่น แต่อ้อชอบบรรยากาศของสวนสนุก
ตามนั้นนะพี่นะ 





หลังจากเดินดื่มด่ำกับบรรยากาศของสวนสนุกได้พักใหญ่
สมควรแก่เวลาที่เราจะต้องไป
เผื่อเวลากินข้าว นั่งรถเมล์กลับไปเอาสัมภาระ นั่งรถต่อไปสนามบิน
เอาตั๋ว tourist pass ไปแลกเงินคืน โหลดกระเป๋า ทำ tax refund นู้นนี่นั่น

ไปถึงสนามบิน เพื่อที่จะพบว่า
ดูเวลากลับผิด ไม่ใช่สองทุ่ม แต่เป็นสี่ทุ่ม
อ๊ากกกกกกก เผื่อ+ผิด เวลาเหลือบานนนนนน เลอ คราวนี้
เอาไงละทีนี้ มีเวลาเหลือร่วม 3 ชั่วโมง
ตัดสินใจยังไม่คืนตั๋วรถไฟ
ไปถามไถ่เรื่องขอ check in โชคดี เค้าให้เช็คได้เลย

จัดการโหลดสัมภาระ ออกเอกสาร tax refund ให้เรียบร้อย
แล้วนั่ง MRT ไปเที่ยวต่อ
ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวเล่นที่ Bugis
มีน้องคนไทยพักที่เดียวกันแนะนำว่าชอคโกแลตถูก 

ระหว่างทางบนรถไฟ สมาชิกเหลือบเห็นห้างใหญ่อยู่ถัดจากสนามบินแค่ป้ายเดียว
ถามความสมัครใจในฉับพลัน  สรุปว่าเปลี่ยนเป้าหมาย
ลง Expo Station ไปเดินเล่นห้างแถวนั้นแทน

ห้างนี้มีร้านรองเท้าในดวงใจด้วย
ร้านเล็ก แบบไม่ค่อยสวย แต่ลดเยอะมากกกก 
เกือบละ เกือบจะสอยมาอีกคู่ ด้วยความถูก
แต่ติดตรงไม่มีไซส์ รอดตัวไป
เดินเล่น กินข้าว กินขนม ใกล้เวลาแล้วก็นั่งรถไฟกลับไปสนามบิน

เจอแว๊ววววว  ได้ลิ้มลอง ลอดช่องสิงค์โปร์ก่อนกลับ
ชอบอ่าาาา อร่อยดี รสชาติเหมือนร้านดังที่เพชรบุรีเบยยยย  หง่ะ





ส่วนตัว รู้สึกว่า ประเทศนี้ หาซื้อขนมเป็นของฝากยากจุง
ไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน
อาหารการกิน เป็นการรวม ๆ กันของหลายเชื้อชาติ
ทรัพยากรของประเทศ คือ คน
กิจกรรมหลักของคนที่นี่คือ เดินห้าง ห้างเยอะมาก ฟู๊ดคอร์ทก็เยอะมากด้วย

บางประเทศ เวลาไปเที่ยว มันจะมีความรู้สึกแบบว่า สวยจัง น่าอยู่ อยากอยู่ 
แต่ที่นี่ มันไม่มีอะไรประทับใจแบบตราตรึง
ถ้าแค่มาเที่ยวเล่น ช้อปปิ้งขำ ๆ พอไหว
บะ บาย สิงค์โปร์ ไว้รอโปรดีดี แล้วจะกลับมาเที่ยวใหม่

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประสบการณ์พลัดพราก @ สิงค์โปร์

June 07 , 2015


โปรแกรมวันนี้    เป็นวันของพี่อ้อ จะไปปล่อยแก่กันที่ Universal studio 
นั่งรถเมล์จากหน้าโรงแรม ชมวิวทิวทัศน์ของเมือง
น่าแปลกใจ ทำยังไงหนอ ทำไมบ้านนี้เมืองนี้ รถไม่ติดเลย
ครึ่งชั่วโมงนิด ๆ ก็มาถึงหน้าห้าง Vivo City หรือย่าน Harbourfront

10.15 am        มาได้เวลาห้างเพิ่งเปิดพอดี
คนยังน้อย ๆ สี่สาวตรงดิ่งขึ้นไปชั้น 3 ที่หมายคือ   Foodrepublic





มื้อแรกเราจะฝากท้องกันไว้ที่นี่ ด้านในตกแต่งสไตล์จีนโบราณ 
เดินเข้าไปแล้วรู้สึกอยากจะตามหาก๊วยเจ๋งมานั่งหม่ำมื้อเช้าด้วยกัน 

















เดินวน 1 รอบ น่าจะเป็นอาหารพื้นเมืองของหลาย ๆ ชาติรวมกัน มาเลย์ อินโด จีน เกาหลี ประมาณนี้ 
พี่อ้อสะดุดกับเมนู ก๋วยเตี๋ยวไหหลำ ร้านนี้





ไหนลองสั่งมากินดูสิ   จะอร่อยเหมือนร้านประจำแถวสะพานขาวรึป่าว
ไม่รู้ใครเป็นต้นตำรับกว่ากัน จะว่าไปมันไม่เหมือนกันซะทีเดียว
ที่บ้านเราจะเครื่องเคราเยอะกว่านี้สักหน่อย 




เข้าปากคำแรก พี่อ้อถึงกับเพ้อ พร่ำชมจนหมดชาม อร่อยถูกใจเค้าจริง ๆ



อันนี้เห็นแล้วนึกถึงร้านข้าวต้มโต้รุ่งบ้างเราเลย   แต่ต่างกันตรงที่ อยากกินอะไรก็คีบใส่จานให้เค้าปรุงให้






    ชามนี้เป็นของรุ่นพี่สุดหล่อ  บะหมี่น้ำ ใส่ไข่ หมูสับ มีปลากรอบโรยหน้ามาด้วย




 กิมจิซุป  ปลาเล็กปลาน้อยในถ้วยนั่น ไม่ได้เผลอทำหกนะ   เค้าให้มาแค่นั้น จริง ๆ





                                 ร้านอาหารอินโด




               เมนูคล้าย ๆ ผัดผักบ้านเรา



                                จานนี้ของรุ่นพี่สุดสวย




 จะว่าไป อาหารการกิน ก็ไม่ต่างกันมากนักในเรื่องของวัตถุดิบ  แล้วแต่ว่าจะหนักไปทางรสชาติไหน





แก้วนี้ปลื้มอ่า น้ำอ้อย ผสม น้ำแห้ว  หอม ๆ อร่อยดี






ออกจากฟู๊ดคอร์ท เพื่อจะพบว่า ข้างนอกมีฝนพรำ ๆ ฟ้าครึ้ม เมฆตั้งเค้า 
อืมมมม รอแป๊บนึงละกัน เด๋วมันคงหยุด ระหว่างนี้ไปเดินดูของในห้างไปพลาง ๆ ก่อน 
เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ เกือบชั่วโมงผ่านไป ยังคงตกอยู่ 
สมาชิกปรึกษากัน หรือเราจะมาใหม่พรุ่งนี้ดี ส่วนวันนี้ก็เปลี่ยนไปเที่ยวโปรแกรมของวันพรุ่งนี้แทน 


ว่าแล้วก็ตามนั้น เดินกลับไปขึ้น MRT เพื่อจะมุ่งหน้าไปเที่ยว Garden by the bay แทน
ระหว่างเดินตาม ๆ กันลงบันไดเลื่อน  เห็น MRT คันที่จอดอยู่ เป็นคันที่เราจะต้องขึ้นพอดี
หัวแถวนำด้วย พี่อ้อ เรา รุ่นพี่ทั้งสอง ซอยเท้ากึ่ง ๆ วิ่งลงบันได เพื่อไปให้ทันก่อนประตูปิด

และ... เมื่อพี่อ้อก้าว   เราก้าว เข้าพ้นประตูปั๊บ
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ฟึ่บ... ประตูปิด พร้อมกับที่เราทั้งสอง หันออกไปมองผ่านกระจกใส
เห็นหน้าเหวอ ๆ ของรุ่นพี่ทั้งสอง อยู่ที่ชานชาลา
รหัสลับสุดท้ายที่พี่อ้อพูดพร้อมส่งภาษามือออกไปคือ  " รอคันที่ 2 " 
ในขณะที่เรา สบตาพี่ๆ แว๊บสุดท้ายพร้อมบอกว่า   " ป้ายหน้า "

แย่แว๊ววววววว ที่แย่คือ เป็นคู่เราคู่เดียว ที่รู้ว่าเรากำลังจะไปลงสถานีไหน ต่อรถขบวนอะไร 
รุ่นพี่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย รู้แค่ว่า จะมาเที่ยวตามเรา เดินตามเรา อย่างเดียว
คู่เรา เลือกที่จะลงป้ายถัดไป เพื่อรอดูว่า พี่เค้าจะขึ้นขบวนถัดไปตามมามั้ย

เหมือนเป็นช่วงเวลาของการเดาใจกัน ด้วยสัญญาณสุดท้าย ว่าพี่ ๆ เค้าจะยังไงต่อ 
เราเลือกให้พี่อ้อรออยู่ที่ป้าย รอขบวนถัดไป เผื่อพี่เค้าจะตามมา
แล้วเราก็นั่งรถไฟกลับไปสถานทีเดิม เผื่อว่าเค้าจะรออยู่ที่เดิม 

สุดท้าย... ไม่เจอ ทั้งที่ป้ายเดิม และป้ายถัดมา
ตัดสินใจอีกครั้ง จากภาษามือ " 2 " ที่พี่อ้อทิ้งไว้ให้ นั่งรถไฟต่อไปอีกป้าย 
เผื่อว่าเค้าจะตีความหมายว่าเจอกัน ป้ายที่สอง    ลองดู 
ระหว่างรอก็คิดกันไปต่าง ๆ นา ๆ  เดาใจกันไปเรื่อย

รถไฟมา กระโดดขึ้น ใจจดจ่อ
พอรถเริ่มเทียบชานชาลา จากเร็ว เป็นชะลอ ช้าลง ๆ 
เพ่งมองผ่านกระจกรถไฟออกไป
แว๊บนึง เห็นหน้ารุ่นพี่ทั้งสอง มองจดจ่อเข้ามาในรถไฟด้วยเหมือนกัน 

สองสาวด้านใน กวักมือเรียก สองสาวด้านนอก ดีใจรีบวิ่งเข้ามา
โอ้โห อย่างกะในหนัง เหมือนพลัดพรากจากกันมาเป็นเวลานาน แล้วหวนมาเจอกันอีกครั้ง 
โผเข้ากอดกัน  สองรุ่นพี่หัวเราะไป น้ำตาไหลไป 555555 
อย่าถามว่าคนในรถขบวนเดียวกันนั้น ทำหน้าอย่างไร
ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ ความระทึกใจในต่างแดน
หลังจากนั้น เวลาจะขึ้น ลง รถ เลยต้องให้แน่ใจ ว่าเราจะก้าวไป พร้อม ๆ กัน 5555 








Garden by the bay แบ่งสวนเป็น 2 โซน จะว่าไป มันก็ไม่มีอะไรมาก
เดินชมสวน ต้นไม้ ดอกไม้ เพลิน ๆ เย็น ๆ



























อันนี้เป็นเลโก้  เก่งอ่า ต่อซะเหมือนเลย























ง่ะ....



ถ้าเจอกลุ่มนี้ที่แอร์พอร์ต บอกเลยว่าพี่วิ่งสุดชีวิต




















จาก MRT bayfront นั่งรถไฟฟ้าต่อไปลง Esplanade Station
เพื่อจะเดินเล่นตรง Underground , ต่อเนื่องไป chinatown 
หาข้อมูลมาว่า ทางเดินตรง Underground ก็มีร้านรองเท้าอยู่อีกหนึ่งสาขาด้วยเหมือนกัน 
ออกจากรถไฟฟ้า เดินเจอร้านซูชิ ป้ายตัวบะเริ่มว่า ทุกจาน 1.50$ อย่ารอช้าสิค่ะ ตรงดิ่งไปเลย
จัดไปคนละหลายจาน อิ่มหนำ อร่อย ฟินนนน 

เดินต่อไปอีกนิด เจอร้านรองเท้าในดวงใจ ตรงดิ่งเข้าไปในทันใด
สแกนด้วยหัวใจก่อน 1 รอบ หัวใจพอง มีคู่ที่โดนใจ เด๋ววนกลับมาคัดกรองใหม่อีกที
คนไม่เยอะมาก เลือกลองได้ตามสบาย ในที่สุด สอยมา 3 คู่ ในราคาสามพันต้น ๆ
เก็บใบเสร็จไปทำ tax refund ได้อีกหน่อย

นั่ง MRT ต่ออีกหน่อย ไปลง chinatown เที่ยวชมชีวิตยามค่ำคืน 




เหนื่อยล้าพอแล้วสำหรับวันนี้ กลับโรงแรม ไปชื่นชมรองเท้าต่อด้วยความสุขใจ
ในที่สุด ก็ได้คู่ ( ขา ) ที่เค้าคู่ควร  อ่าาาาาา