วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Day 3 : ภูเขาหิมะมังกรหยก

April 13 , 2014 

 5.30 - 6.30 - 7.30 step เดิม

เช้านี้ ตื่นมาด้วยความสดชื่น เมื่อคืนนอนหลับอุ่นสบาย 
อาหารเช้าวันนี้ที่โรงแรม แย่สุดในทริป น้อยและไม่ค่อยเติม 
กินแบบแค่รองท้อง แล้วเตรียมตัวออกเดินทาง



                     บรรยากาศด้านข้างโรงแรมยามเช้า  เห็นน้ำแล้ง ๆ แต่ใสแจ๋วเลยน๊า





ทางเดินหน้าโรงแรม เข้าไปยังเมืองเก่า เมื่อคืน





มีรถขายอาหารเช้าบริเวณถนนหน้าโรงแรม เล็ง ๆ ดูแล้ว เป็นพวก ซาลาเปา หมั่นโถว ไข่ต้ม







ลูกอะไรไม่รู้ พี่คู่เลิฟให้มาเมื่อคืน  รสชาติเหมือนแตงกวาดิบ ผสมฟัก จืด ๆ เหม็นเขียวด้วย



สถานที่เที่ยววันนี้ ถือเป็นไฮไลท์ของเมืองลี่เจียง นั่นคือ ภูเขาหิมะมังกรหยก
ประกอบด้วยยอดเขา 12 ยอด มีหิมะปกคลุมตลอดปี
ยอดเขาหลักมีความสูง 5,596 เมตร จากระดับน้ำทะเล และยังเป็นยอดเขาที่ยังไม่มีใครพิชิตได้ 
ช่วงที่เราไป ถือเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ก็ยังมีหิมะปกคลุมยอดเขา 

                                              รถเริ่มเข้าไปใกล้ เห็นยอดเขาลิบ ๆ แว๊ววว












นั่งบัสจากโรงแรมไปเกือบชั่วโมง ก็ถึงที่ทำการอุทยาน




โปรแกรมแรกของเช้านี้ จะมีการแสดงที่มีชื่อว่า Impression of Lijiang
เวทีถูกสร้างขึ้นบริเวณใกล้กับภูเขามังกรหยก โดยใช้เป็นฉากหลังของการแสดง 
การแสดงสะท้อนเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกับภูเขาหิมะอันศักดิ์สิทธิ์ และประเพณีของชนกลุ่มน้อย 
ใช้ทีมนักแสดงชนกลุ่มน้อยพื้นเมืองกว่า 500 คน 

ก่อนจะเข้าไปดูการแสดง เหล่าลูกทัวร์ขอแวะเข้าห้องน้ำกันสักหน่อย
และแล้ว... ในที่สุด เราก็ได้พบกับ ของขึ้นชื่อของบ้านนี้ เมืองนี้
 กลุ่มเราเข้าไป เจอกับแก๊งค์อาอึ้ม อาม่า รอเข้าอยู่ก่อนแล้ว
 ห้องน้ำต่างจากปั้มที่เคยเล่าให้ฟังวันก่อน จำนวนห้องไม่มากนัก ค่อนข้างมืด
ต้องให้สายตาปรับโฟกัสอยู่พักนึง เหมือนว่าจะไม่มีไฟ หรือถ้ามีก็น้อยดวง 
อาศัยแสงภายนอกส่องเข้ามาทางหลังคา 

ขณะที่ต้ากำลังต่อคิวอยู่นั่น อาม่าห้องทางซ้ายมือ แกก็เข้าไปทำธุระ โดยที่ ไม่ปิดประตู!!
เปิดอ้าซ่า แถมหันหน้าออกให้ชาวโลกได้ทักทาย ที่เด็ดกว่าคือเพื่อนนาง
ยืนรอหน้าห้อง แถมเอาขาข้างนึง ดันประตูไม่ให้ปิดให้ด้วย 
ฉี่กันไป คุยกันไป อู๊ยยยย แลดูมีความสุข อ๊ากกกกกกกก 
ถึงคิวเราเข้า ด้วยความที่มันมืด เลยมองไม่ออกว่า ภายในห้องน้ำนั้น มีอะไรบ้าง 
หลับหูหลับตาทำธุระไปให้มันจบ ๆ
ของพี่อ้อนี่เด็ดพอกัน ยืนรอในโซนที่แสงแดดพอส่องถึง
 เปิดประตูห้องมา เจอภูเขาก้อนใหญ่ คาบนส้วม เลวร้ายอ่ะ 
อันนี้ไม่เข้าใจ ศูนย์ไม่ดี กะไม่ถูก หรือมันยังไง ฮ่วย!!
 ขออภัยหากใครอ่านอยู่ แล้วกำลังจะไป have lunch or dinner
 หุ หุ บอกเลยว่า อย่ามโน!! 



























สาวทิเบตที่ไหนเนี่ย










จบจากการแสดง ก็ต่อแถวนั่งบัสของอุทยานไปอีกประมาณ 15 นาที
เพื่อไปที่ที่เราจะต่อกระเช้าไปบนภูเขา 


                    แถวยาว ขดไป ขดมา แถวยาวไม่ว่า แต่หนาวและแดดแรงเฟร่อ  ฝ้าจะขึ้นหน้าเอา



ไกด์แนะนำให้เตรียมซื้อออกซิเจนกระป๋องไปด้วย สำหรับคนที่คิดว่าสุขภาพไม่น่าจะไหว 
เราจะไปตรงจุดที่สูง 4,506 เมตรจากระดับน้ำทะเล อากาศค่อนข้างแห้งและน้อย
 ก็ซื้อเผื่อๆไว้กระป๋องนึง กะว่าแบ่งกันดมกับพี่อ้อ กระป๋องนึง 67 หยวน ประมาณ 350 บาท






                                บนภูเขา อากาศหนาวมาก ฟ้าใสแหน่ว  แดดแรงมากด้วย






 จริง ๆ เค้ามีทำทางบันไดไม้ไว้ให้เดินขึ้นไปอีก แต่เราขอบาย 
ขอยืนชื่นชมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอยู่แถว ๆ ลานหน้าอาคารก็พอ 
อาจเป็นเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่สัมผัสหิมะ เลยลดความตื่นเต้นลงไปหน่อย
























                                                             ถ่ายเก่งมาก ดำเชียว









เฉิดฉายถ่ายรูปได้แป๊บเดียว ไม่ไหว ขอกลับเข้ามานั่งพักด้านใน ฉีดออกซิเจนกระป๋องเล่น
รอลูกทัวร์ครบแก๊งแล้วค่อยลงพร้อม ๆกัน




 ร่ำลาภูเขาหิมะมังกรหยกด้วยความหิวโหย
ไกด์พาพวกเราไปหม่ำมื้อเที่ยง ซึ่งปาไปบ่ายกว่า ๆแล้ว 
ที่ร้านอาหาร ลูกทัวร์เริ่มจะเดาเมนูได้ ว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง 


                      ร้านนี้ห่อจาน ชาม ไว้ในถุงกระดาษ มองเข้ามาตอนแรก นึกว่าซาลาเปา


วัตถุดิบในการทำอาหารของเมืองนี้ ไม่มีอะไรมาก เมนูอาหารเลยวนเวียนอยู่แค่นี้ 
มื้อนี้ สิ่งแปลกใหม่ของเราคือ ชา ปกติจะเป็นใบชา แต่อันนี้เป็นข้าว กลิ่นหอม ละมุน ๆ
เหมือนกลิ่นเก๊กฮวยผสมข้าวบาเล่ย์ รสชาติดี ชุ่มคอ





อันนี้เบียร์ จัดให้มื้อละ 2 ขวด สลับยี่ห้อกันไป




 อิ่มท้องแล้ว ก็ไปต่อกันที่ สระน้ำมังกรดำ เฮยหลงถัน  อยู่บริเวณเดียวกับร้านอาหาร







จะไปถ่ายรูปนาง นางขอเก็บตังค์ แล้วลากไปเต้นด้วย





ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่  เหมือนเดินในสวนหย่อม น้ำก็ดูแล้ง ๆ
เลยเดินผ่าน ๆ ประมาณ 15 นาที ก็ขึ้นรถไปกันต่อ


 อุทยานน้ำหยก อวี้สุ่นไจ้ คล้าย ๆ กับที่เมื่อกี้ แต่ใหญ่กว่า ก็เดินผ่านๆ อีกเหมือนกัน
 ครบแล้วตามโปรแกรมของวันนี้ มุ่งหน้าสู่แชงกรีล่า ที่เราจะพักกันคืนนี้ 


รถบัสพาเราออกนอกเมืองมาเรื่อย ๆ สังเกตุได้อย่างชัดเจน
ว่าสองข้างทาง ตึกรามบ้านช่องมันเปลี่ยนสไตล์ไป 










ไกด์บอกว่า แชงกรีล่า อยู่ในเขตปกครองตนเองทิเบต
 หน้าตาบ้านเรือน จะมีเสาต้นใหญ่ ๆ อยู่หน้าบ้าน หลังคา จะไม่เหมือนเก๋งจีนแล้ว
 บ้านหลังค่อนข้างใหญ่ เพราะชาวบ้านจะเลี้ยง จามรีไว้ในบ้านด้วย 


ก่อนจะถึงที่พัก คนขับแวะรับไกด์สาวท้องถิ่นของแชงกรีล่า 
แนะนำตัวว่าจะเป็นไกด์ซึ่งพาพวกเราเที่ยวในวันพรุ่งนี้
ไกด์คนนี้น่ารักมาก เป็นผู้หญิง พูดไทยไม่ได้ อังกฤษไม่ได้ แต่พยายามจะสื่อสารกับพวกเรา
ดูแลพวกเราไปยันเรื่องอาหารการกิน เห็นไข่เจียวหมด ก็มาถามไถ่ เดาได้ว่า เอาอีกมั้ย?
 พวกเราก็เก่ง ตอบเลยว่าเอาอีก ไกด์พูดจีน เราพูดไทย แต่เข้าใจกันได้ ตลกดีอ่ะ 

แชงกรีล่า หรือชื่อเดิมว่า จงเตี้ยน เป็นเขตปกครองพิเศษของชาวทิเบตตี๋ชิ้ง 
อยู่บนที่ราบในวงล้อมของขุนเขา แชงกรีล่า เป็นภาษาทิเบต
แปลว่า หนทางนำไปสู่ดวงตะวันและดวงจันทร์โดยดวงจิต

ถึงโรงแรม Shangri-la Original Density Hotel
ลงจากรถปุ๊บ โอ๊ววววว อุณหภูมิเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แค่ว่า หนาวมว๊ากกกกก 
รีบวิ่งปรู๊ด หายเข้า lobby กันโดยเร็ว
ไกด์สาวพาเราไปห้องอาหารเพื่อหม่ำมื้อค่ำ สภาพลูกทัวร์ที่เหน็บหนาวและหิวโซ
มื้อนี้เลยอร่อยเป็นพิเศษ อาหารก็คล้าย ๆ เดิม มีอยู่ 2-3 อย่างที่แปลกตาอยู่บ้าง


             เนื้อนั่น คล้าย ๆ หมูแดง ส่วนสีน้ำตาลที่เป็นริ้ว ๆ รสชาติปะแล่ม ๆ อธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร



แกงจืดไข่น้ำ  แต่ใส่มะเขือเทศด้วย 





แท๊น แทน  อันนี้หน้าตาคุ้น ๆ มะ เหมือนจะเป็นส้มตำ  ตอนยกมาเสริฟ ตาลุกเลย นึกว่าจัดมาให้แซ่บ 
แต่ มันคือมันฝรั่งซอยผัดน้ำมัน จืด ๆ เลี่ยน ๆ แบระ






อิ่มหนำสำราญ ก็แยกย้าย ห้องใครห้องมัน
โรงแรมนี้ค่อนข้างใหม่และสะอาดมาก ๆ

การตกแต่งภายในห้องดูสวยงาม ใส่ใจ และลงตัว 
ลวดลายของเฟอร์นิเจอร์ ผนัง พรม เชิงบัว ดูไปในทิศทางเดียวกัน 









ใส่ใจ แม้กระทั่ง...









ถ้าไม่ได้มาสัมผัสเอง แล้วให้นึกภาพว่า ต้องมาค้างอ้างแรมแถว ๆ ทิเบต ก็มโนได้ว่า
คงจะต้องนอนในกระท่อมที่ทำมาจากดิน กลางหุบเขาอันหนาวเหน็บแหง ๆ

 ค่ำนี้ จึงเป็นอีกคืนที่นอนหลับอุ่นสบาย หายเหนื่อย เก็บแรงไว้ตะลุยกันต่อพรุ่งนี้นะค๊า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น