วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Day 6 : วันหยวนทง - กรุงเทพ

April 16 , 2014

Step 6.00 - 7.00 - 8.00

มื้อเช้า เหมือนเดิม วันสุดท้ายของทริปแล้ว

ไกด์พาไปแวะ ร้านหยก ซึ่งอยู่ในไฟลท์บังคับ 
ร้านนี้ถ้าใครได้มีโอกาสแวะมา ช่วยบอกหน่อยนะว่าจะเจอเหมือนกันรึป่าว 
พนักงานต้อนรับสาวสวยวันทีน พูดไทยได้ค่อนข้างดี พาพวกเราไปนั่งในห้องบรรยาย
แล้วบอกว่าเด๋วจะมีผู้จัดการมาอธิบายเกี่ยวกับหยกให้เราฟัง

ผ่านไปพักนึง นางดูลุกลี้ลุนลน แบบ ใส ๆ ซื่อ ๆ บอกว่า
ผู้จัดการไม่มาแล้ว เพราะว่าพวกเรามาเช้าเกินไป หือ?? 
เลยจะให้พนักงานอีกคนมาอธิบายแทน ว่าแล้วนางก็เปิดประตูให้ผู้ชายคนนึงเข้ามา
ลักษณะภายนอก เหมือนอาตี๋วัยรุ่น ใส่แว่นหนา ๆ อ้วน ๆ เนิรด์ ๆ
เดินเหมือนประหม่า คิ้วขมวดตลอดเวลา ก้าวขาแบบก้าวสั้น ๆ กระดึ๊บ ๆ เข้ามาในห้อง
มือกำกางเกงแน่น เหงื่อแตก สร้างความฉงนให้พวกเรากันทั้งห้อง 
เค้าบอกผ่านล่ามสาวน้อยว่า เค้าเป็นลูกชายเจ้าของร้าน เค้าไม่เคยพูดมาก่อน 
แต่คนข้างนอกให้เค้ามาพูด  ขอให้ทุกคนอย่าหัวเราะเค้า อย่าลุกออกไปจากห้อง 

แล้วก็สาธิตวิธีการดูหยกแท้หยกปลอมแบบ งง ๆ แถมบอกพวกเราว่า
ถ้าออกจากห้องไปแล้ว คนข้างนอกถามว่า เค้าพูดเป็นยังไง ให้บอกว่าเค้าพูดไม่ดี
เพราะถ้าบอกว่าพูดดี เด๋วจะให้เค้าพูดอีก 

พอสาธิตจบ ก็พาพวกเราออกไปด้านนอก
ไปยังห้องที่มีประตูรีโมท ด้านในเป็นเหมือนร้านขายเพชร
เค้าหยิบเอาหยกหุ้มทองชิ้นนึงขึ้นมา บอกว่าอันนี้มีชิ้นเดียว
เป็นของตระกูลเค้า พ่อเค้าหวงมาก 
พี่ลูกทัวร์ที่ไปด้วยกันแอบกระซิบว่า  "เหมือนกับที่ไปเวียดนามมาเลย ถ้าเดาไม่ผิด
เด๋วสุดท้าย เค้าจะพูดว่า แต่ถ้าใครอยากได้ เค้าจะแอบพ่อขายให้ 
ทั้งหมดมันน่าจะเป็นการแสดงที่เค้าเตรียมมา"   ฟังแล้วเราก็มีเหวอ ๆ ไป
ว่าต้องทำกันขนาดนี้เลยหรอ แต่ก็พยายามสังเกตุ
เห็นว่าอาตี๋นี้มีท่าทีที่ผ่อนคลาย ต่างกับช่วงแรก 
เดินเหินปกติ แบบที่เรียกว่าใหญ่คับร้านด้วยซ้ำ
พูดจาขายของคล่องแคล่ว แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีทีเดียว 

อาตี๋เห็นสาว ๆ ไม่ค่อยสนใจหยก เลยบอกว่าด้านนี้มีสร้อยพร้อมจี้มุก จะให้ราคาพิเศษ 
สาว ๆ ก็เลยไปเลือกดูกัน เราเลือกสร้อยคอมา แล้วเห็นว่ามีต่างหูน่าจะเข้าชุดกัน 
ต่อราคาต่างหูกับพนักงาน นางบอกเด๋วไปถามอาตี๋นั่นก่อน ว่าลดได้มั้ย 
สักพักกลับมา บอกลดได้นิดหน่อย ไอ้เราก้อเลยกะว่าจะเอามาแต่สร้อยกะจี้ 
พี่ที่รอซื้ออยู่ด้วยกัน เดินไปถามอาตี๋ บอกให้ลดอีกหน่อย
เนี่ยซื้อสร้อยตั้งหลายเส้นแล้ว แถมต่างหูให้ได้มั้ย
ไม่อยากจะเชื่อค่ะท่านผู้ชม อาตี๋ยักคิ้วหลิ่วตา พยักหน้าตกลง 
เราหรือจะยอมปล่อยผ่าน สะกิดตี๋ที่กำลังจะเดินออกนอกห้องไป
บอกเราก็ซื้อสร้อยนะ แถมต่างหูให้ด้วยสิ
อาตี๋ฟังจบ ดีดนิ้ว 2 ที พร้อมทำหน้าแบบเท่ ๆ ให้พนักงาน แบบประมาณว่า จัดให้เค้าไปคู่นึง อร๊ายยยยยยย อยากจะบ้า
แล้วไอ้ตี๋ที่ดูประหม่า คิ้วขมวด เหงื่อแตก กำกางเกง คนนั้นหายไปไหนแล้วฟร่ะ 
ถ้าทั้งหมด มันคือการแสดงจริง ๆ มันสุดยอดอ่ะ จะขายของกันทั้งที ต้องทำกันขนาดนี้เลยรึ
เดินอึน ๆ งง ๆ กับเหตุการณ์ในร้านหยก กลับขึ้นรถบัส
ไปปิดท้ายทริปนี้กันที่ วัดหยวนทง วัดที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเมืองคุนหมิง 
สร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง มีอายุประมาณ 1,200 กว่าปี 
แต่เดิมเคยเป็นศาลเจ้าแม่กวนอิมมาก่อน แต่ได้ถูกทำลายในสมัยราชวงศ์หมิง 
และได้รับการบูรณะในสมัยที่อู๋ซานกุ้ยมาปกครองคุนหมิง









                                          สองหล่อ ประจำทริป ( ที่เหลือเป็นเด็กกะคนแก่ )




































จบจากการไหว้พระที่วัดหยวนทง มุ่งหน้าสู่สนามบินคุนหมิง
บ๊ายบาย ไชน่า บ๊ายบาย ยูนนาน 
             



                                                                        Kunming Airport




กลับถึงบ้านได้ บึ่งรถไปเซ็นทรัล จัดบุฟเฟ่ต์ส้มตำ คำพูน กันชุดใหญ่
อาหารที่ไหน ๆ ก็ไม่ถูกปากเท่าบ้านเรา ^^

เมืองจีน  ที่ไม่เคยคิดว่าอยากจะมาเยือน หลังจบทริป สิ่งที่ประทับใจที่สุด
คือ เพื่อนร่วมทริป เราสองคนโชคดี เจอคนดี ๆ
ประทับใจธรรมชาติ  ไม่ว่าอยู่ที่ไหน  ก็สวยงาม ยิ่งใหญ่...เสมอ



Day 5 : คุนหมิง - เมืองเก่ากวนตู้

April 15 , 2014

 Step 5.00 - 6.00 - 7.00

เช้านี้ ค่อนข้างโหด ไกด์ขอให้เรารีบออกเดินทาง 
วันนี้เราจะกลับไปที่คุนหมิง ซึ่งต้องผ่านไฮท์เวย์ที่กำลังทำทาง 
ขามา เราเสียเวลาไปค่อนข้างมาก เลยอยากไปให้เช้า ๆ
เพื่อที่จะให้ผ่านจุดที่เค้าจะปิดเพื่อทำทางก่อนที่คนงานจะมาเริ่มงาน 
ผลจากการตื่นเช้า กินเช้า พาร่างมาหลับต่อในรถกันถ้วนหน้า
ซึ่งก็ถือว่าทำเวลาได้ดี เราผ่านจุดทำทางมาได้ โดยไม่ต้องอ้อมไปทางสายเก่าที่ขรุขระอีก


มื้อเที่ยงวันนี้เป็นอาหารจีนกวางตุ้ง รสชาติดี พี่อ้อถูกใจมื้อนี้ที่สุดในทริป 



                                                 ของหายากในจีน คนจีนไม่นิยมกินน้ำแข็ง




เบียร์จีน





บรรดาลูกทัวร์ที่น่ารัก




4 วันที่ผ่านมากับอาหารจีน ลูกทัวร์เลยร้องขอมาม่ากับไกด์ ไกด์ก็ไปขอเพื่อนมาให้ 
แต่..มาม่า 2 ห่อ ไกด์ใส่น้ำซะท่วมชามใหญ่ ถามว่ามันยังแซ่บอยู่มั้ย...ไม่ต่างกับแกงจืด บอกเลย 






กุ้งทอดกระเทียม  พี่อ้อ happy





แกงจืดผักกาดดอง ใส่หอยมาด้วย สงสัยกระดูกหมูหมด 





วุ้นเส้นผัดกระเทียมราดมาบนหอยตลับ อันนี้อร่อย เข้มข้น




จบจากมื้อเที่ยง เดินทางต่อไปยังที่ที่มีบังคับอยู่ในทุกกรุ๊ปทัวร์
ร้านขายชา
ไกด์บอกว่า ชา ผ้าไหม หยก เป็นสินค้าของรัฐที่ทุกบริษัททัวร์ต้องพาลูกทัวร์มาแวะชม 
จะซื้อหรือไม่ซื้อก็อีกเรื่องนึง
เพื่อไม่ให้ไกด์ต้องลำบากใจ เราก็ทำหน้าที่ลูกทัวร์ที่ดีกันไป 



ร้านขายชา เป็นร้านใหญ่ มีห้องอยู่ 2-3 ห้อง พนักงานพาพวกเราเข้าไปห้องแรก
เหมือนห้องฟังบรรยาย แต่เป็นโซฟาสำหรับนั่งเดี่ยวแทนเก้าอี้
มีกาละมังตรงหน้า 1 ใบ พร้อมถุงชา
ระหว่างฟังบรรยาย เค้าจะให้เราแช่เท้าในกาละมังที่มีน้ำร้อน 





แล้วก็จะมีพนักงานมานวดไหล่ นวดหัวให้เพลิน ๆ
มองแบบผิว ๆ นี่คงเป็นอภินันทนาการจากทางร้าน
สำหรับสาธิตสินค้า ให้เราได้ลองใช้จริง 
มองแบบลึก ๆ หน่อย เอ๊ะ นี่เป็นแผนให้เราลุกไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งฟังนางขายของชิมิ 


สินค้าที่มานำเสนอขายในรอบแรกนี้ เป็นพวก บัวหิมะ ยาสมุนไพรจีนโบราณ
สรรพคุณครอบจักรวาล ราคามีตั้งแต่หลักพัน ไปยัน หลัก แสน


จบจากห้องแรก ก็ถูกต้อนเข้าห้องที่ 2 เป็นห้องชิมชา 
พนักงานบรรยายคนเดิม นางเก่งนะ พูดไทยคล่องเชียว
มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวสูงอีกด้วย
ก็มีการชงชาแต่ละชนิดให้ลองชิม ใครถูกใจ รสไหน กลิ่นไหน สรรพคุณไหน
ก็ซื้อกลับบ้านกันไป


จบจากร้านชา ไกด์ก็พาเราเดินไปร้านผ้าไหม ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก 
ร้านนี้พนักงานส่วนใหญ่ พอจะพูดและเข้าใจภาษาไทยได้ค่อนข้างดี 
ก็บรรยายเกี่ยวกับตัวหม่อนไหม การสาธิตคุณภาพไหม
ปิดท้ายด้วยขายผ้าห่ม ปลอกหมอน ผ้าปูเตียง 
ที่ร้านนี้ พนักงานคงจะถูกกดดันด้วยยอดขาย ถึงได้ตื้อกันเก่งมาก ๆ
ประมาณว่า ถ้ากรุ๊ปไหนกลับออกไปโดยไม่มีใครซื้อ พนักงานคงจะโดนดีแน่ ๆ

ออกจากร้านไหม ไปต่อกันที่เมืองเก่ากวนตู้ 
อันนี้เฉย ๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ค่อนข้างสกปรกนิดนึงด้วย 
มีเรื่องเม้าท์อยู่หน่อยนึง เดินไปเจอร้านขายเสื้อผ้า เลยพยายามจะถามราคา 
คนขายเป็นสาววัยรุ่น ก็พยายามจะไม่มองเรา
โบกไม้โบกมือให้ ก็ไม่หันมาสบตา จนยื่นกางเกงไปตรงหน้า แล้วถามราคา
นางทำท่าอึกอักนิดนึง แล้วหันไปขายคนอื่น
พี่อ้อก็ยังจะพยายาม ควักโทรศัพท์ออกมา กะจะให้เค้าจิ้มตัวเลข
เค้าไม่หันมา ไม่สนใจเราอีกเลย
ไรฟร่ะ น่าจะส่งไปร่ำเรียนวิชาการขายที่ร้านผ้าไหมนะ หุ หุ



                               อันนี้เก็บตกจากข้างทาง ไอเดียดีนะ  กางทีเดียว เผื่อไปถึงคนซ้อนด้วย






มื้อเย็นค่ำนี้ เป็นเมนูพิเศษ สุกี้เห็ดไก่ดำ
กติกาที่เรียนรู้ได้เองคือ คนกินให้นั่งเฉย ๆ รอพนักงานเค้ามาจัดแจงให้เราเอง




                                                         จะมีหม้อสุกี้หน้าตาประมาณนี้







พนักงานจะทยอยเอาเห็ดแช่แข็งออกมา    ใส่สารพัดเห็ดลงไปในหม้อ รอเดือด






ระหว่างนี้ ใครอย่าได้ไปวุ่นวายกับหม้อเชียว นางจะเข้ามาพ่นจีนใส่
ประมาณว่า มันยังกินไม่ได้ ให้รอก่อน

ระหว่างรอก็จะมีขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงมาให้กินเพลิน ๆ





นางจะแวะเวียนมาคนในหม้อดูให้เป็นระยะ จนเป็นที่พอใจ
นางก็จะอนุญาตให้พวกเราลงมือกินได้ 



                                                      มันเดือดแล้วคร่าาา กินได้ย๊างงงงง




พอเห็ดใกล้หมดหม้อ พี่อ้อเล็งเบคอนที่อยู่ในจาน แต่ก็ไม่กล้าเอาใส่ลงหม้อ 
ได้แต่รอว่าเมื่อไหร่นางจะใส่ให้กิน
สักพัก นางก็มาใหม่ เอาสารพัดผักใส่ลงในหม้อ พร้อมเนื้อสัตว์ 
แล้วก็เหมือนเดิม รอจนกว่านางจะบอกให้กิน


ชุดสุดท้าย เป็นเส้น เหมือนอุด้ง ปิดท้ายการกิน 



                                 มีลีลาในการใส่ด้วยนะ นางเอาเส้นทั้งกำ ปักลงไปตรงกลาง
                                           แล้วปล่อยให้มันกระจายเต็มหม้อ  แลดูมีอะไร



ก็อร่อยดี แปลก ๆ ไอ้ที่แปลกคือพนักงานเนี่ยล่ะ ตลกดี


อิ่มแล้วก็เดินทางกลับที่พัก เป็นที่เดียวกับที่เราพักกันคืนแรก 
คราวนี้เจอห้องแอร์ไม่เย็นอีกแร่ะ แถมห้องอับ ๆ อีก
ฮึ๊บ ๆ เอาน่า ใกล้ได้กลับบ้านแสนสุขของเราแร่ะ

Day 4 : แชงกรีล่า - ต้าหลี่

April 14 , 2014 

วันนี้ไกด์ใจดี ให้ step 6.00 - 7.00 - 8.00

ที่นอนนุ่มอุ่นสบาย ยากต่อการขุดร่างออกจากผ้านวม 
คาดหวังกับอาหารเช้า เพราะเมื่อคืนอาหารค่ำค่อนข้างอร่อย 
นี่ไง คนเรา อย่าคาดหวัง คาดหวังปุ๊บ ผิดหวังปั๊บ 
คือมันดูเหมือนไลน์บุฟเฟ่ต์เนี่ย มันจะมีอะไร แต่.. เดินวนไปมา ไม่รู้จะกินอะไร 
ได้ไข่ต้มในน้ำดำ ๆ มากินกะข้าวผัดจืด ๆ T T
ที่จริง เค้ามีก๋วยเตี๋ยวด้วยนะ เส้นเหมือนขนมจีน น้ำซุปใส ๆ
แต่เห็นคนไทยโต๊ะข้าง ๆ กินไป ปรุงไป กินไป ปรุงไป
เกรงว่าจะอิ่มเครื่องปรุงมากกกว่าก๋วยเตี๊ยว
เห็นแล้วก็พอเดารสชาติได้ เอามาก็คาดว่าจะเหลือทิ้งซะเปล่า ๆ


ใกล้เวลานัดหมาย เหล่าลูกทัวร์ก็มารวมตัวกันที่ lobby
หน้าจอโทรศัพท์ บอกอุณหภูมิ -2 องศา
อ๊ากกกก มิน่าเล่า ขนาดอยู่ในโรงแรม ควันยังออกปากขนาดเน้
โลกภายนอกจะโหดร้ายขนาดไหนเนี๊ย 





โปรแกรมการเดินทางเช้านี้ เราจะไปวัดซงจ้านหลิน หรือวัดโปตาลาน้อย 
เป็นวัดสไตล์ทิเบต สร้างลอกแบบมาจากพระราชวังโปตาลา
ซึ่งเป็นทั้งพระราชวังและวัดสำคัญ สูงสุดของทิเบต


                           โฉมหน้าไกด์สาวชาวแชงกรีล่า ที่รับมาเมื่อคืน จะพาพวกเราทัวร์วันนี้




ป้ายรถเมล์ 





ไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่ต้องเข้าไปด้านใน เพื่อทะลุไปอีกฝั่ง ไปขึ้นรถบัสเล็กที่เค้าจัดไว้เพื่อไปวัด




ศิลปะ แปลกตา






นั่งรถบัสเล็กมาแค่ 10 นาทีก็ถึงที่นี่





ด้านบน เป็นวัดโปตาลาน้อย






ด้านในของทางเข้าซุ้มวัด

















ถ่ายได้แค่ด้านนอก ภายในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ





อันนี้เป็นกงล้อ ตามที่ไกด์บอกคือให้หมุน 3 ครั้ง ครั้งแรกสำหรับตัวเอง 
ครั้งที่2สำหรับครอบครัว ครั้งที่3 สำหรับมิตรสหาย




สว. ชาวทิเบต จะต้องมีตะกร้าแบกไว้ด้านหลัง 





กุฏิพระ






4 สาว เดินกลับออกมาถึงหน้าวัดก่อน เลยลองซื้อปิ้งย่างหน้าวัดมาลองกินดู





มันคือมันฝรั่งย่าง โรยหน้าด้วยอะไรสักอย่าง คล้ายๆปาปริก้า โซนไหนโรยเยอะ ก็ไตแทบวาย เค็มปี๊ด ๆ
อีกไม้เป็นข้าวเหนียวย่าง แผ่นกลม ๆ แบน ๆ โรยหน้าเหมือนกัน  ไม้ละ 5 หยวน





แม่ค้าคนงามแห่งแชงกรีล่า




ชาดอกกุหลาบ สวยเชียว เวลาชงดื่ม คงแลดูเป็นสาวหวาน อ่อนต่อโลก ครุคริ ๆ





ขากลับเจอวัยรุ่นกลุ่มนี้  ดูเป็นแฟชั่นผสมผสาน ^^





จบจากที่นี้ ก็เดินทางต่อไปยัง เมืองเก่าจงเตี้ยน
เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ เป็นการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแบบจีน
ตั้งอยู่ติดกับยอดเขาเล็ก ๆ ซึ่งมีกงล้อยักษ์ สูงกว่า 3 ชั้น
ชาวทิเบตนิยมไปหมุนกงล้อยักษ์เพื่อความเป็นสิริมงคล



                                               มีตัวจามรีอยู่หน้าวัด เอาไว้เก็บค่าถ่ายรูปคู่





มีร้านให้เช่าชุดพื้นเมือง จะใส่นั่งถ่ายรูปบนจามรีก็ได้





กำลังโพสต์กันอยู่ ตากล้องก็คอยช่วยจัดท่า





กงล้อยักษ์









     อันนี้หมาทิเบต ตัวใหญ่กว่าหมาธรรมดา  พี่สาวในกรุ๊ปเรา เลยขอถ่ายรูปด้วย ค่าเสียหาย 10 หยวน
             ดูสีหน้ามันเบื่อหน่ายกับกิจกรรมเหล่านี้ พอถ่ายเสร็จ นางหันตูดให้เลย มีหาวใส่ด้วย


พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านในวัด ออกเดินทางต่อไปยัง หุบเขาเสือกระโจน 


                               ระหว่างทาง ผ่านตึกใหญ่โต ไกด์บอกว่าอันนี้คือ มหาวิทยาลัย









ก่อนจะถึงหุบเขา แวะหม่ำมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ริมแม่น้ำแยงซีเกียง 
ช่วงนี้เป็นหน้าแล้ง น้ำเลยค่อนข้างน้อย แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า
ฤดูน้ำหลาก จะสวยงามขนาดไหน 






ร้านนี้ มีสิ่งนึงที่เป็นไฮไลท์ มันเป็นที่สุดของทริปนี้ ไม่อวดคงไม่ได้
เด๋วค่อยเล่านะ กินข้าวก่อน
อาหารที่คุ้นเคย อยู่หลายวัน พอเดาได้แระ


                                                                ไข่เจียว แบน ๆ มัน ๆ




แลดูเหมือนจะเป็นไก่ผัด แต่พอกินแล้วมันเหมือนเนื้อกบเลย 





มันฝรั่งทอดอมน้ำมัน





ปลาราดซอส ไม่ค่อยปลื้มกันเท่าไหร่ ตัวไม่ใหญ่ แต่เหลือ





กินข้าวเสร็จ พี่ร่วมทริปคู่นึงบอกว่า ต้า อ้อ ไปเข้าห้องน้ำมายัง
 " ยังค่ะพี่ เด๋วกินข้าวเสร็จแล้วค่อยไปเข้า "
 " ต้องไปให้ได้เลยนะ ห้องน้ำที่นี้สุดยอดอ่ะ ธรรมชาติมาก ๆ ดี ดี " 
ออกจากบริเวณหน้าร้าน เดินเลี้ยวซ้ายไปตามป้าย WC
โอ๊ว มาย ก๊อด….. Original ฝุด ๆ เหนือคำบรรยาย
โปรดพิจารณากันเอาเองเถิด มีนางแบบกิตติมศักดิ์มาโพสให้ด้วย




หรือนี่จะเป็นที่มาของคำว่า ยอง ยอง เหลา !!




             
           ข้าง ๆ ห้องน้ำ มองลงไป เป็นเหมือนบ้านพัก มีบ่อเลี้ยงปลา ( หรือจะเป็นปลาราดซอส ตะกี้ )




ด้านหลังร้านอาหาร เป็นแม่น้ำ มีแปลงผักปลูกเรียงราย ก็คงจะเป็นผักที่ผัดให้เรากินกัน







หน้าร้าน มีขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ  ที่เห็นนั่น เค้าว่าทำมาจากเขา จามรี 





จัดการมื้อเที่ยงเรียบร้อย เดินทางต่อไปยัง หุบเขาเสือกระโจน 
วิวข้างทาง สวยมาก ๆ เป็นแม่น้ำท่ามกลางภูเขาลูกโต ๆ ซ้อนกันไปมา 
รู้สึกมนุษย์อย่างเรา ตัวเล็กนิดเดียว ( ใครอยากผอมให้มาเดินแถวนี้นะ )






บางช่วงของแม่น้ำแยงซีเกียง




เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำน้อย แต่ก็ยังสวย













 
รถจอดแวะให้เราลงไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมและถ่ายรูป 
มีทำบันไดให้เดินลงไปจนถึงด้านล่าง




ตอนแรกก็กะจะลงไปกันสัก 2 step แล้วค่อยขึ้นมา 
แต่ เค้าทำทางลงกับทางขึ้น คนละด้านกัน และ ทางลง ไม่ให้ขึ้น 
นั่นหมายความว่า ลงไปแล้ว อย่าย้อนทางเดิม ต้องไปให้สุด
ทายสิ เราเดินลงไปกันมั้ย.. ฟิ๊ววววววว





ใครเดินไม่ไหว มีลูกหาบไว้ให้บริการ





ลมแรงไปนะ ใครเปิดพัดลม หรี่หน่อยมั้ย ผมชั้นเสียทรง




ถ้าเดินลงไป คงไปได้ถึงด้านล่างนั่นเลย




เดินทางต่อ คราวนี้เราจะย้อนกลับไปที่เมืองต้าหลี่
คืนนี้เราจะพักกันที่นั่น  Regent Hotel 
ที่พักสำหรับคืนนี้ อยู่ใกล้ๆ กับเมืองโบราณที่แวะไปเมื่อบ่ายวันที่ 2
ไกด์แจ้งไว้ว่า โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 5 ดาว
ซึ่งถ้าดูจากสถานที่ ถือเป็นโรงแรม ที่ใหญ่และกว้างมาก ๆ
เหมือนเป็นเมืองเล็ก ๆ สร้างเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส อาคารที่พักมีอยู่แค่ 3 ชั้น


                                                                        Lobby






สวนด้านนอก




สวนด้านใน




อาคารที่พักแบ่งเป็นโซน ล้อมสวนจีนไว้ตรงกลาง ห้องพักกว้างขวางดี แต่ก็ยังไม่สะใจเท่าคืนแรก














มี body scale ให้ด้วย  สงสัยอยากให้ชั่งกระเป๋า เผื่อน้ำหนักเกิน





                                                                     มุมนี้น่ารักดี



แย่ก็ตรงที่ แอร์ไม่เย็น อุณหภูมิที่ต้าหลี่ประมาณ 18-20 องศา ไม่ร้อนมาก แต่ก็ไม่หนาว

ระหว่างรอมื้อเย็น ท้องร้อง เลยออกไปหาอะไรรองท้องแถวโรงแรม





ถ้ามีส้มตำด้วยจะแจ่มมากเลยอ่ะ  




อาหารเย็นที่โรงแรม เมนูคุ้นเคย ระหว่างกินก็มีบริกร แสดงภาพวาดแนวจีน ๆ 
ขึงภาพโชว์พร้อมบรรยายและแจ้งราคาเป็นภาษาจีน
กวาดตาดูแต่ละโต๊ะ ไม่มีใครสนใจนางเท่าไหร่
เดาเอาว่า ฟังไม่รู้เรื่อง แปลไม่ออก พูดไรแว๊ กินข้าวดีฟ่า 


คืนนี้เข้านอนด้วยความขัดใจ แอร์เหมือนพ่นลมร้อน นอนไม่สบายเลย 
จำห้องไกด์ไม่ได้ จะไปบอกใครก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เลยต้องนอนแบบอุ่น ๆ กันไป
คร่อก คร่อก