วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กาญจนบุรี VS ราชบุรี



ห่างหายไปนาน บล็อกดูซบเซา 
กลับมาเขียนซะหน่อย
 
 
เสาร์ 15  กันยายน 2555
เอา Voucher ที่ซื้อไว้จนจะหมดอายุออกมาใช้
กาญจนบุรี... ที่รัก  ครบปีพอดี จากที่ไปมาครั้งก่อน
 
ออกจากกรุงเทพ สาย ๆ ไม่รีบ ไม่เร่ง
ไปรอบนี้ ไม่ได้วางแผนอะไรไว้ 
อารมณ์แบบ voucher มันจะหมดอายุ เลยต้องไปใช้ ๆ ซะ
บางทีซื้อมาก็กลายเป็นภาระไปซะงั้น
ถึงตัวเมืองกาญจน์เกือบ ๆ บ่าย แวะไปฝากท้องมื้อเที่ยง
ที่ร้าน 'พริกแกง' ตามที่คุณตั๊กเคยแนะนำไว้

 
วันเสาร์ แต่คนน้อย มีอยู่ไม่กี่โต๊ะ
อาหารอร่อย บรรยากาศง่าย ๆ อิ่มสบายท้อง
ออกจากร้านพริกแกง มุ่งหน้าสู่ที่พักในอำเภอบ้านเก่า
check-in แบบเหงา ๆ เหมือนเหมาทั้งรีสอร์ท

วันนี้วันเสาร์ แต่คนน้อย ถึง น้อยมาก
มีความรู้สึกว่า พักหลัง ๆ การท่องเที่ยวที่กาญจน์ดูซบเซากว่าที่เคย
คนคงแห่ไปหัวหิน ไปปราณฯ ไปที่ใหม่ๆ กันหมด
 
แวะเอาสัมภาระไปเก็บ ชื่นชมบรรยากาศในที่พัก
แล้วถามเอาจาก Reception ว่ามีอะไรใกล้ ๆ ให้เที่ยวได้บ้าง
น้องแนะนำ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ กับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
ไม่รอช้า เด๋วจะปิดซะก่อน มุ่งหน้าสู่ อุทยานประวัติศาตร์ก่อน
ถ้าทัน ขากลับค่อยแวะพิพิธภัณฑ์



อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์
ค่าเข้าคนละ 20 รถยนต์คันละ 50
ภายในบรรยากาศร่มรื่น กว้างขวาง และมีต้นไม้ใหญ่ๆ เยอะ
เจอรถบัสนักเรียนมาทัศนศึกษา 2-3 คัน แต่กำลังจะกลับ
เราเลยได้เดินชมกันแบบสง๊บ สงบ อีกแล้ว
ความต่างของเราคือ พี่อ้อชอบประวัติศาสตร์ ชอบชมโบราณสถาน



 




 
ซึ่งต้าเฉย ๆ และไม่ค่อยอิน


โพสต์ท่าถ่ายรูป สนุกกว่าเย๊อะ

 



































 

 
กว่าจะออกจากที่นี่ก็ร่วม 5 โมงเย็น ซึ่งพิพิธภัณฑ์คงปิดไปเรียบร้อยแล้ว
กลับเข้าที่พัก ถึงปุ๊บ ฝนกระหน่ำปั๊บ
มื้อเย็นในที่พักริมน้ำกับสายฝนโปรยปราย 
อากาศดี๊ ดี เหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด

 
อาทิตย์ 16  กันยายน 2555
ฝนยังคงโปรยปรายอยู่ตั้งแต่เมื่อคืน
อาหารเช้าง่าย ๆ จากรีสอร์ท แล้วก็เตรียมตัว check-out
มุ่งหน้าสู่ราชบุรีกับสายฝนเป็นระยะ ๆ
หามื้อเที่ยงหม่ำที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก
เคยมาหนนึงเมื่อสัก 5-6 ปีที่แล้ว
ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในวันนั้น คึกคัก คนเยอะ ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและนักท่องเที่ยว
ตลาดน้ำดำเนินสะดวกในวันนี้ ดูบางตาไป ทั้งคนขาย คนเที่ยว 
ผิดจากตลาดน้ำอัมพวา ที่คึกคักกว่ามาก ยิ่งวันหยุดคนยิ่งแน่นจนบางทีแทบจะไหลแทนเดิน

 


ที่ระลึกจากตลาดน้ำ

 
เป็นคนชอบกินผัก ผลไม้ เวลาเห็นเรือผลไม้ขายกันตู๊ม ๆ แล้วชอบจัง
รู้สึกอยากซื้อไปซะทุกอย่างเลย
เลยได้ส้มเช้ง มะละกอ มะเฟือง ส้มโอ กล้วยเล็บมือนาง 
กินกันให้วิตามินซีพุ่งไปเลย
ออกจากตลาดน้ำ ตามป้ายโฆษณาข้างทางนำเสนอ
" สุนทรีแลนด์ แดนตุ๊กตา" ต้าเฉย ๆ แต่... พี่อ้ออยากไป
ค่าเข้าคนละ 80 บาท มีหางบัตรเป็นส่วนลด เอาไว้ใช้ใน shop ได้


 


 
ดูเหมือนจะเป็นที่สำหรับเด็ก ๆ แต่เอาเข้าจริง
ผู้ใหญ่และวัยรุ่นนี่ล่ะ สนุกสนาน เพราะมีมุมให้ถ่ายรูปเล่น









เอ๊า ดื๊ม


















อะไรเอ่ย ไม่เข้าพวก








 

 

 
 




 




 









 



 


 
ออกจาก Hall มาเจอโซนที่ให้เราสามารถออกแบบตุ๊กตาของตัวเองได้
















 
ต้าไม่สน แต่... พี่อ้อพุ่งตรงเข้าไป T T ขัดแย้งกันตล๊อด
แถมใช้เวลาในนี้นานซะด้วย
เพราะอยากมีตุ๊กตาที่ออกแบบด้วยตัวเอง
เค้าจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้เลือกเยอะแยะมากมาย
เลือกตัวตุ๊กตามาหนึ่งตัว แล้วก็เอาไปตกแต่ง

 


 
จะแต่งเยอะ แต่งน้อย ยังไงก็ได้ แล้วแต่เรา


 



 
ค่าเสียหายตัวละ 180 บาท ใช้ส่วนลดจากตั๋วใบละ 20 บาท 
เลยได้ตัวนี้มาด้วยราคา 140 บาท กลับไปเหลืองอยู่ที่ห้อง

 


ด้านหน้า




ด้านหลัง

 
เสียเวลากับที่นี่นาน เลยต้องรีบบึ่งไปที่สุดท้าย
อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม ราชบุรี เปิดมาได้ประมาณ 6 ปี ยังดูใหม่และสะอาดสะอ้าน


 







 
ค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ซื้อตั๋วเสร็จปุ๊บ ฝนเทกระหน่ำเลย
เลยต้องเดินกางร่มชมวิวกันแบบรีบ ๆ แฉะ ๆ
ที่นี่ต่างจากพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง นครปฐม ที่เคยไปสมัยเด็ก ๆ 
ใหญ่กว่าด้วยพื้นที่ กว้างขวาง ร่มรื่น และต้นไม้เยอะมากกก
แบ่งเป็น 5 โซน ให้เดินชม มีทั้งในอาคาร ในถ้ำ กลางแจ้ง
และในบ้านทรงไทย
เราไปชมในช่วงเวลาเย็น ๆ ที่อากาศอึมครึม 
บรรยากาศส่งผลให้ความเหมือนของหุ่นขี้ผึ้ง ดูเหมื๊อน เหมือนขึ้นไปอีก






เห็นเด็กผู้หญิงแล้วนึกถึงก้นดำ มีบาร์บี้เหมือนกันเลย



 
เอิ่ม เห็นพี่เสมามั้ยค่ะ


 



 
 
หุ่นบางตัวถึงกลับไม่กล้าจ้องนาน กลัวหันมาจ้องตอบ

 
หากใครจะมา แนะนำให้มาตอนฟ้าใส ๆ และควรมีเพื่อนร่วมขบวน
ไม่ต่ำกว่า 3 คน จะอุ่นใจมากขึ้น
 
ก่อนกลับแวะร้านขายของที่ระลึก พี่อ้อได้เจ้าควายวิ่งมาตัวนึง

 


 
ราชบุรี จังหวัดที่เพิ่งเคยได้มีโอกาสแวะมาเที่ยว
จะว่าไป ก็เป็นทริปใกล้ ๆ ที่มีอะไรน่าสนใจมากกว่าตลาดน้ำและสวนผึ้ง
ออกจากราชบุรีพร้อมกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
ตกหนักตลอดทางจนถึงกรุงเทพ
จะเอาอยู่มั้ยน๊อปีนี้

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

My BD 2012

4 กุมภาพันธ์ 2555



วันเกิดปีนี้ พี่อ้อชวนไปทำบุญค่ะ


โดยที่บอกล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ว่าให้เตรียมตัว


ไม่ได้มีอะไรยาก แค่ไปหาซื้อผลไม้มาปอก





เย็นวันศุกร์ มีประชุมที่ไซท์งานสุขุมวิท 47


ประชุมเสร็จ รีบบึ่งรถกลับบ้าน ไปหาซื้อผลไม้








เช้าวันเสาร์



พี่อ้อช่วยเตรียมอุปกรณ์ ล้างถาด และผลไม้ให้


ต้ามีหน้าที่ปอก ปอก ปอก


เลือกซื้อผลไม้ตามฤดูกาล


ชมพู ฝรั่งกิมจู แตงโม









ปอก ล้างน้ำเกลือแล้วพักไว้ สีจะได้สวย ๆ ไม่ดำ









พี่อ้อช่วยจัดเรียง


และคัดเลือกชิ้นไม่สวยออก (ใส่ปากแทน)





เตรียมของเสร็จ ก็อาบน้ำอาบท่า


เรียงถาดผลไม้ใส่รถ พร้อมออกเดินทาง






เรียงถาดผลไม้ใส่รถ









มุ่งหน้าสู่ บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน รามอินทรา


( เมื่อกลางปีที่ผ่านมา พี่อ้อเคยชวนไปอ่านหนังสือให้คนตาบอด


สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย อยู่แถว ๆ ประชาสงเคราะห์


เป็นการอ่านลงเครื่องบันทึกเสียง แล้วไรท์ลงแผ่นอีกที


ส่วนใหญ่เป็นหนังสือสำหรับใช้ในการศึกษา


เจ้าหน้าที่บอกว่า


เดี๋ยวนี้คนตาบอดจะขวนขวายศึกษา ให้มีปริญญาติดตัว


เพราะบางบริษัท จะมี 1 ตำแหน่งไว้สำหรับผู้พิการทางสายตา


อาจจะเป็นธุรการ โอเปอเรเตอร์


เพื่อจะได้ทำงานอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ในสังคมได้


เพราะอาชีพขายล็อตตารี่ที่เคยเป็นเหมือนอาชีพหลักของพวกเขา


ถูกแทนที่ด้วยคนที่มีร่างกายปกติดีไปแล้ว


ใครว่าง ๆ จะแวะไปอ่านก็ได้นะคะ สนุกดีเหมือนกัน )





กลับมาต่อกันที่บ้านเด็กตาบอดฯ


พี่อ้อบอกว่า โทรจองคิวล่วงหน้าเป็นเดือน


มื้อกลางวันเต็ม มีคนจองไว้แล้ว


Staff เลยเสนอให้เลี้ยงผลไม้แทน




นัดเวลาไว้ที่ 11 โมงครึ่ง ถึงตามเวลาเป๊ะ


สถานที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่ก็ไม่อึดอัด


ที่นี่เพิ่งเปิดได้สัก 2 ปี อารมณ์คล้าย ๆ โรงเรียนอนุบาล


Staff มาช่วยยกถาดผลไม้ไปวาง


เด็ก ๆ นั่งรอหม่ำมื้อเที่ยงกันอยู่ตามบ้าน










เด็ก ๆ ที่นี่ มีอายุตั้งแต่ 4 ขวบ ไปจนถึงวัยรุ่น


แบ่งพักตามบ้าน


มีชื่อบ้านเรียกตามสี บ้านส้ม บ้านฟ้า บ้านชมพู ฯ


คัดเด็กที่มีวัยและทักษะใกล้เคียงกันอยู่บ้านเดียวกัน





มื้อเที่ยงวันนี้มีคนเตรียมส้มตำ


ไก่ทอด ข้าวเหนียวมาเลี้ยงน้อง





เราช่วย Staff จัดเตรียมอาหาร


โดยการแกะน่องไก่แล้วฉีกเป็นชิ้นๆ พอดีคำ


ปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อน ๆ พอดีคำ และส้มตำ ใส่ในชาม


Staff ช่วยกันแจกจ่ายชามอาหารให้กับน้อง ๆ


เสียงน้องบางคนตะโกนถาม ว่ามื้อนี้มีอะไรทาน


Staff บอกรายการอาหารและแถมท้ายว่า วันนี้มีผลไม้ด้วยค่ะ


แจกจ่ายอาหารคาวไปแล้ว ก็มาเตรียมผลไม้


เราติดจานกระดาษมาด้วย เผื่อ ๆ ไว้


แต่ Staff บอกว่า ใช้ไม่ได้


จำเป็นจะต้องใช้ชามเฉพาะที่จัดไว้ให้เท่านั้น


ลักษณะเหมือนชามก๋วยเตี๋ยวพลาสติก


จำเป็นต้องมีขอบโค้ง ๆ เอาไว้ให้น้อง ๆ สัมผัส


Staff ให้เราเอากรรไกรมาตัดผลไม้ ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ


แล้วใส่ในชาม ทุกอย่างต้องทำเป็นคำ ๆ


เนื่องจากว่า น้อง ๆ ไม่ได้แค่ตาบอด


แต่น้องส่วนใหญ่ พิการซ้ำซ้อนทางร่างกาย และสมอง


มันเป็นสิ่งละเอียดอ่อนที่ต้องใส่ใจ





มีน้องผู้หญิงคนนึง ตะโกนถามว่า มี มะละกอมั้ย


เล่นเอาเรารู้สึกผิด


ทำไมเราไม่ซื้อมะละกอมาด้วยว๊า


แต่น้องผู้ชายคนนึงชมว่าแตงโมอร่อย



^___^





สังเกตุได้ว่า เด็ก ๆ ไม่ชอบกินฝรั่ง


อาจจะเพราะมันแข็งและไม่ค่อยหวานฉ่ำ








หลังจากเด็ก ๆ อิ่มหนำกันแล้ว


พี่อ้อเดินแวะไปห้องด้านหน้า


มีเด็กอยู่ในห้องร่วม 10 คน กับพี่เลี้ยง 1 คน


ถามพี่เลี้ยงไปว่า เราขอเข้าไปเล่นกับน้องได้มั้ย


พี่เลี้ยงแนะว่า ให้ไปหลังถัดไปดีกว่า


เพราะน้องห้องนี้ค่อนข้างงอแง


เราเลยยืนมองน้องผ่านหน้าต่างแทน


ยืนสังเกตุพฤติกรรมน้องอยู่พักใหญ่


บางคน ชอบเล่นคนเดียว บางคน ก็ต้องการเพื่อน







อย่างน้องคนนี้ นั่งเงียบ ๆ คนเดียว


ชอบหาขวดมาดีด ๆ เคาะ ๆ แล้วคอยฟังเสียง








น้องคนนี้ปีนขึ้นไปอยู่บนกล่อง


แล้วเล่นกระดาษอยู่คนเดียว









พี่อ้อบอกว่า ไว้คราวหน้า จะเอาของเล่นมาบริจาค


เห็นเวลาน้องหยิบของเล่นมาเล่น หน้าน้องจะมีรอยยิ้ม


และของเล่นที่น้องมี ค่อนข้างเก่าจะแล้วด้วย





ก่อนกลับ แวะไปอุดหนุนเสื้อกันมาคนละตัว









แล้วก็จองคิวล่วงหน้าไว้สำหรับเดือนเกิดพี่อ้อ


เท่าที่เห็นในสมุดคิว


มีผู้ใจดี จองคิวกันแน่นล่วงหน้าหลายเดือน


คิวที่เราได้ก็เลยเป็นอาหารว่างช่วงบ่าย





เสร็จสิ้นภารกิจ กลับออกมาด้วยความอิ่มเอมใจ


อิ่มใจแล้ว ก็แวะหาอะไรหม่ำให้อิ่มท้องแถว ๆนั้น





โปรแกรมต่อไป พี่อ้อบอกว่า จะพาไปทานข้าว


เป็นร้านอาหารในซอยอารีย์


จองไว้ตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง


งุนงง ทำไมต้องจอง แล้วทำไมไม่จองตอนเย็น


กินข้าวอะไรตอนบ่าย3


แถมบอกว่า ให้เอารถไปเก็บ แล้วขี่ฟีโน่ไปกัน


จะได้ไม่เสียเวลา เผื่อรถติด



จะเสียเวลาอะไร เวลาเหลือเยอะแยะ ทำไมต้องรีบ



สุดท้าย ก็ต้องขับรถไป เพราะว่าฝนโปรยปราย




พี่อ้อซิ่ง ปาดซ้าย ปาดขวา ( จะรีบอะไรนักหนา )


หน้าซอยอารีย์รถดันติดสนิทอีก เพราะโรงเรียนเลิกพอดี


ไปถึงที่จอดรถของร้าน บ่าย3โมงครึ่งพอดิบพอดี


จอดรถเสร็จ เดินไปที่ร้าน


Forturner คันนึงขับเข้ามาพร้อมลดกระจกด้านคนขับ


อร๊ายยยย...


คุณน๊กกกกก นี่ คุณตั๊กด้วยย มาไงเนี๊ย





เดินไปถึงร้าน มองหาโต๊ะนั่ง


อ้าว เฮ๊ยยยย แพ็ตตี้กะน้องเจน โอ๊ววววว


และพี่จุ๊บกำลัง On the way พร้อมกับ Cake อร่อย ๆ


ครึกครื้น ครึกครื้น ^^


สาว ๆ รวมตัว ก็เฮฮา เม้าท์ เมา มันส์ กันไป




ไอ้เราก็นึกว่าไม่มีอะไรแล้ว


มารู้ว่ามีอีกโปรแกรมก็ตอนที่พี่จุ๊บถามว่า


จะไปดู Concert อะไรกัน




หือ อะไรอ่ะ Concert อะไร


หันขวับไปมองหน้าพี่อ้อ ได้ความว่า


พี่อ้อจองบัตร Concert Dee Seefa เอาไว้


รอบทุ่มครึ่งที่พารากอน


เป็นของขวัญวันเกิดในปีนี้


ว๊าว ว๊าว Surprise!!



เลยเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมถึงอยากขี่ฟีโน่มา


เพราะเกรงว่ารถจะติด กว่าจะไปถึงพารากอน


ไหนจะหาที่จอดรถอีก แล้วก็ติดจริง ๆ กว่าจะถึงพารากอน


กว่าจะหาที่จอดแปะได้ เกือบ 2 ทุ่ม


แต่คุณตั๊กเตือนมาแล้ว ว่า Concert Atime


เลทอยู่แล้วค่ะ แล้วก็เลทจริง ๆ



เริ่มเล่น 2ทุ่ม เลิกเที่ยงคืน


เก้าอี้แข็งได้อีก เมื่อยมว๊ากกก





ขอบคุณ คนพิเศษ เพื่อนพิเศษ


รู้ว่าวันหยุด แต่ละคนก็มีโปรแกรมนู้นนี่กัน


แต่ก็ยังสละเวลามาทำให้เป็นวันที่พิเศษ


ขอบคุณมาก ๆ นะค๊า





^___^







ปล. เราเลือกสรรและจัดวางผลไม้ไปอย่างตั้งใจ

แต่ความสวยงาม ไม่ได้มีผลต่อผู้พิการทางสายตาแม้แต่น้อย

ฉะนั้น ไม่ว่าผู้ให้ จะมีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างไร

สิ่งที่สัมผัสกันได้ จึงเป็นสิ่งที่ออกมาจากใจ ล้วน ๆ

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Happy Time ... 2

ถึง หนอนบุ้ง ของป้า



ถ้าแม่อุ๊มีหนูให้เร็วกว่านี้ ป้าต้าคงไม่ต้องมาทรมานใจ


เพราะคิดถึงหนูแบบนี้เล๊ยยยยย




หนูเริ่มดุ๊กดิ๊กอยู่ในท้องแม่


ในขณะที่ป้า ๆ มีเพลนที่จะกลับเมืองไทยกันแล้ว


ป้าๆก็เลยทำได้แค่ รับฟังข่าวคราวความเป็นไปของหนูอยู่ไกล ๆ


เสียดาย ที่ไม่มีโอกาสไปอยู่ให้กำลังใจแม่อุ๊ในวันคลอด


เสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ร่วมเลี้ยงดูและกลั่นแกล้งในช่วงวัยที่ตอบโต้ไม่ได้


ไม่งั้น ป้าต้าคงมีเรื่องไว้เขียนเม้าท์หนูใน blog


เหมือนที่เคยเม้าท์พี่สาวหนูนั่นล่ะ




หนูลืมตามาเบิกบานที่ออสเตรเลีย ในเดือนมิถุนายน


เดือนเดียวกันทั้งแม่อุ๊และพี่กีตาร์


ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 4 กิโลเท่านั้นเอง เบา ๆ

( แม่อุ๊งี้แทบจะต้องเปลี่ยนช่วงล่างใหม่ )


เสียดาย อีกครั้ง ที่ป้า ๆ อยู่เมืองไทย


ในคืนที่แม่คลอดหนู เลยไม่มีใครเลี้ยงพี่กีตาร์ให้


ป๊ะป๋ากับแม่อุ๊ เลยต้องกระเตงพี่สาวหนูเข้าห้องคลอดไปด้วย


พี่กีตาร์เลยมีโอกาสได้เป็นสักขีพยานในวันที่หนูเบิกบานออกมา


ไม่รู้ว่าโตขึ้น พี่กีตาร์จะจำเหตุการณ์เหล่านี้ได้บ้างรึป่าว



แม่อุ๊บอกว่า รู้สึกสบายใจ ที่พี่กีตาร์รักน้อง


คอยห่วง ไม่ยอมให้แม่ปล่อยน้องไว้คนเดียว


คอยเข็นรถเข็นให้ เล่นด้วยเวลาน้องร้อง






ก่อนเราเจอกัน แม่อุ๊ส่งรูปหนูมาให้ยลเป็นระยะ


ป้า ๆ รู้สึกว่าหลานเรามันช่างหน้าตาฮาจริง


ดูไร้อารมณ์ ไม่รู้ยิ้มเป็นมั่งป่าว


ต้องบอกให้แม่อุ๊ถ่ายรูปตอนยิ้มมาให้ดูบ้าง


แม่อุ๊ก็พยายามเป่าหู ว่าหนูหน่ะ น่ารัก อย่างนั้น อย่างนี้


ป้าก็ยังไม่หลงเชื่อ ยังเห็นเป็นเสือยิ้มยากอ้วน ๆ แค่นั้น



จนกระทั่ง ฟ้าส่งให้เรามาเจอกัน ( เวอร์จริงป้า )


ได้อุ้ม ได้เล่น ไม่กี่หนเท่านั้นแหล่ะ


เกิดอาการหลงรักผู้ชายคนนี้เข้าอย่างจัง


เด็กอะไรไม่รู้น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


แขน ขา อ้วนเต่ง ตัวตึงแน่นไปหมด


ป้าอ้อบอกว่า หนูเป็นเหมือนตัวตัดอารมณ์


เวลาหันไปมองหน้าหนูทีไร


จะเห็นหนูทำหน้านิ่ว คิ้วขมวด เหมือนเจอเรื่องเครียดมา


เห็นแล้วขำ หน้าตาฮาได้อีก


แต่เวลาอารมณ์ดี กินอิ่ม นอนอิ่ม


ก็จะยิ้มง่าย มีเขินอาย ส่งเสียงอ้อแอ้




ป้าไม่รู้ว่า เด็กวัยเดียวกัน เค้าเป็นอย่างหนูรึป่าว


หนูกินเก่งมว๊ากกกกกก


ในวัย 7 เดือน หนูปลื้มข้าวบดผสมฟักทองเละ ๆ


มะละกอสุกนี่เลิฟมาก


กินในปริมาณที่เรียกว่าไม่น้อย พอหมดก็ยังไม่ยอมอิ่ม


แหกปากโวยวายจะกินอีก



เวลาแม่กะป้า ๆ ไปหาไรหม่ำกัน


จะต้องเตรียมอาหารของหนูไปด้วย


ระหว่างที่เรากิน ก็ต้องป้อนหนูไปด้วย


เพราะถ้าหนูเห็นพวกเรากิน แล้วหนูไม่ได้กิน


หนูจะมีอาการทันที


หงุดหงิดงุ่นง่าน ถีบขาอวบ ๆ ไปมา


มือไม้สั่น เหมือนจะลงแดงกันเลยทีเดียว


ตางี้ก็เบิ่งโต จ้องเขม็งไปที่โต๊ะอาหารและชามข้าว


พร้อมส่งเสียงอ้อแอ้ ๆ


เด็กอะไรไม่รู้ ตะกล๊ะ ตะกละ



แต่ทั้งป้าต้าและป้าขวัญ ต่างก็ไหลหลง


วันไหนที่แม่อุ๊ หอบหิ้วหนู ๆ ไปสุมหัวกันที่ออฟฟิตป้าขวัญ


ป้าต้าก็จะคอยหาเรื่องไปประชุม ไปตรวจไซท์งานในเมือง


ทำงานเสร็จก็ไม่กลับออฟฟิต แวะไปขลุกอยู่ด้วยกัน

เฮ้อ…. ว่าแล้วก็คิดถึง
T T


ไอ่อ้วนของป้า

























แม่มัวแต่เม้าท์ กินหัวเข่าแม่ซะเลย





อารมณ์ดี






มาป่วน














ป้าขวัญแกล้ง






แกล้งป้าขวัญ







ป้าอ้อแกล้ง






ขาได้สัมผัสพื้น ตื่นเต้น ๆ













ยิ่งอยู่ ยิ่งอ้วน





มองกล้องหน่อยอ้วนนนนนน
^__^