เรื่องแรกเล่าถึงของกินซอยกิ่งเพชร >> ขนมจีน สวัสดีค่ะ
กลับมาเขียนด้วยวัย 40++ จะเป็นเรื่องอะไรหล่ะ
วัยนี้ก็ขอเข้าสู่กระแสพระนิพาน 555 ตั้งใจอยากเก็บไว้อ่านตอนห้าสิบ หกสิบ
คงทำให้เอาไซเมอร์ไม่ถามหา คิดเอาเองว่าความทรงจำจะทำงานได้ดี ถ้ามีสิ่งกระตุ้น
เริ่มเลยดีฟ่า ต้องท้าวความถึงความหลังก่อนว่า เดิมทีเป็นคนไม่ค่อยเข้าวัด สวดมนต์ไม่เป็น
เพราะตั้งแต่เด็กยันทำงาน ไม่เคยจับหนังสือสวดมนต์เลย
ที่โรงเรียนก็สวดบท ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้คอยคุ้มครองสอดส่องดูแลเราด้วยความรักและเมตตาอย่างยิ่ง ใช้ชีวิตแบบคนพุทธในบัตรประชาชน ใส่ซองผ้าป่า20บาท ทำสังฆทานเวียนเป็นครั้งคราว
ใส่บาตรบ้างตามวาระ
จนถึงเวลาของชีวิตหล่ะมั๊ง ที่จะได้รู้จักพุทธศาสนามากขึ้น
มีโอกาสได้เรียนครูสมาธิ เป็นหลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการทำสมาธิเบื้องต้น จนไปถึงความรู้ขั้นวิปัสสนา ได้มีโอกากาสนั่งสมาธิแบบเข้าใจในจุดประสงค์ เมื่อก่อนรู้ว่าการนั่งสมาธิดี แต่ก็ไม่รู้ว่าดียังไง
อยากนั่งก็หลับตา มองไม่เห็นก็กลัวผี รู้สึกว่ามีคนจ้องอยู่ ก็ต้องลืมตา นั่งไม่ได้
นี่เล่ามายังไม่ได้เข้าเรื่องที่อยากจะเขียน เกริ่นนำเฉยๆ เอาเป็นว่าสมาธิทำให้เกิดความลึกซึ้ง
อยากเข้าหาพระพุทธศาสนามากขึ้น จนมาวันนึง เธอไปกับเขา เอ้ยไม่ใช่
วันนึงมีพี่ที่รู้จักกัน ที่เคยชวนเรียนสมาธิโทรมาบอกว่า อ้อไปอินเดียไม๊ ผ่อนจ่ายค่าทริปปีหน้าก็ได้
เห้อออ รออะไร ไปซิค่ะ และนี่คือเรื่องราวตลอด 8 วันในดินแดนพุทธภูมิ
3 ธันวาคม 2560 (วันที่1) ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
ทริปเราลูกทัวร์ 21 คน นัดกันตี4.30 เพื่อเตรียมความพร้อมเครื่องออก 7.30
ผู้ร่วมทริปที่ไปด้วยกันคุ้นหน้าคุ้นตากัน 4-5 คน ที่เหลือก็เป็นคนแปลกหน้ากันในครั้งแรก
เราไปสายการบินภูฐานแอร์ไลน์ แว๊บแรกที่เห็นพนักงานต้อนรับบนเครื่อง
ก็รู้สึกเหมือนได้เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยว มันแปลกหูแปลกตา
เดินผ่านผู้โดยสารคนอื่น ๆ ไม่มีแขกสักคน เป็นเอเซียแล้วก็ฝรั่งประปราย
ดีไปไม่ต้องผจญกลิ่นตามที่เคยได้ยินมา
สักพักเขาก็เริ่มเสริฟอาหาร พนักงานไม่ได้ถามอะไร และเราก็ไม่ได้บอกอะไร
อาหารที่ได้มาเป็นมังสวิรัติ รวมมิตรกระเพาเห็ด ก็อร่อยดี
สังเกตุว่าพนักงานต้อนรับ ของภูฐาน ไม่ค่อยเน้นเรื่องหน้าผม แต่ละคนพอทำงานจะหัวยุ่งๆ ถ้าบ้านเราหล่ะ ไม่ว่าจะบินใกล้บินไกล ผมเนี๊ยบ ปากแดง ยิ้มบ่อยกว่าเยอะ
กินอิ่มนอนหลับ ได้สักแพร้บ ใช้เวลาประมาณ2.30 ชม เราก็ได้ถึงที่หมายปลายทาง สนามบิน GAYA
ตรวจคนเข้าเมืองแบบคนไม่หนาแน่นเท่าไร ไม่เกินครึ่งชม.เราก็ได้ออกมาสูดอากาศอินเดียกันแล้ว
ทางทัวร์มีรถบัสคันใหญ่มารับพวกเรา นั่งได้ 40 กว่าที่นั่ง เลยได้นั่งกันแบบหลวมๆ
หมุนตัวถ่ายรูปได้ 360 องศา ไกด์ทัวร์พอขึ้นรถก็แนะนำ พระอาจารย์ที่จะบรรยายตลอดทริปนี้
ระหว่างทางเราก็ได้เปิดโทรศัพท์เปลี่ยนซิมทูฟลาย ของAIS ทดสอบส่งไลน์เรียบร้อย
รถวิ่งได้ไม่ถึงครึ่งชม. เราก็ถึงโรงแรม Anand International
ที่นี่เขามีwelcome ผ้า ต้อนรับแขกที่มา โดยการคล้องผ้าให้ เหมือนบ้านเราที่คล้องมาลัยกล้วยไม้
อบอุ่นชื่นมื่นชุลมุนกับการรับกุญแจเข้าห้องพัก ห้องพักสะอาด ใหม่ ผ่านค่ะคืนเน้
เก็บกระป๋งกระเป๋าเสร็จก็เปลี่ยนชุดขาว ลงมากินอาหารมื้อแรกเมืองภารตะ
แถวจัดอาหารวางเต็ม ถูกใจที่สุดคือ ทับทิมที่แกะแล้วพร้อมกิน
รสชาดอาหารที่นี่okค่ะ เข้าปากกลืนได้555
มื้อแรก จานแรก
กองทัพเดินด้วยท้องพร้อมแล้ว เราทั้งหลายก็มุ่งหน้าสู่ "พุทธคยา" สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ที่นี่เขาไม่อนุญาตให้นำมือถือเข้าไป สามารถถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ จากกล้องเท่านั้น
เลยไม่มีรูปมา แต่รูปในเนตเกี่ยวกับที่นี่เย๊อะ ขอบรรยายว่า ได้เห็นความศรัทธาของคนหลายๆชาติ ปฏิบัติตามความเชื่อของตน บางก็นอนราบยกตัวขึ้นลงเพื่อเป็นการสักการะ สวดบาลีตามสำเนียงของแต่ละภาษา ช่วงที่เราไปตรงกับงานสาธยายพระไตรปิฏก ได้มีโอกาสเห็นชาวพุทธทั่วโลกมารวมตัวกัน ฟังพระอาจารย์บรรยายเล่าเรื่องต่างๆ ของช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
กลุ่มเราก็นั่งสมาธิใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ร่วมกันห่มผ้าพระพุทธเมตตา
จากนั้นออกจากพุทธคยา ไปชมบ้านนางสุชาดา สถานที่จริงเป็นพื้นที่โล่งๆ มีเนินก่ออิฐขนาดใหญ่ให้เห็น พระอาจารย์เล่าว่า เขาสร้างครอบบ้านของจริงไว้
บริเวณนั้นก็มีกลุ่มคนไทยอื่นๆ ยืนมองอิฐมองฟาง เหมือนกันกับเรา
จบจากตรงนี้ เราก็นั่งรถไปชมวัดนานาชาติ แต่ได้ดูชาติเดียวคือวัดญี่ปุ่น เพราะเวลามีจำกัด
ฟ้าเริ่มมืด อากาศเริ่มเย็น บริเวณนั้นมีหลายวัด ทิเบต ศรีลังกา พม่า สวยตามสไตล์ของแต่ละชาติ
ไปวัดญี่ปุ่นได้รู้ถึงประวัติของพระสังกัจจายน์ ว่าเดิมนั้น ท่านรูปงาม แต่ด้วยเหตุว่างามจนคนพบเห็นไม่เป็นอันต้องทำอะไร มาชมแต่รูปท่าน ๆ จึงได้แปลงร่างให้อ้วนตุ้ยนุ้ย เพื่อละความหลงในรูป
กลับจากวัดญี่ปุ่นก็เข้าโรงแรมมากิน อาหารค่ำกัน จบวันแรกด้วยอากาศที่หนาวเย็น จนยังไม่อยากใช้บริการฝักบัวอาบน้ำ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
4 ธันวาคม 2560 (วันที่2) วันนี้คณะเราจะไปกันที่ เขาคิชกูฏ
เมื่อก่อนคิดว่ามีแต่ที่จันทบุรี โลกมาเปิดตอนที่มาอินเดียนี้แหล่ะ
ตื่นแต่เช้าตรู่กินข้าวโรงแรม นั่งรถบัสยาวๆไป ระหว่างทางก็ดูบ้านดูเมืองเขาไป
เมืองที่เราผ่านนี้เกือบจะทั้งหมดเป็นคนจนเขาสร้างบ้านกันจากดินและฟาง
บ้านคนอาศัยอยู่จริง ไม่ใช่พร็อพ บ้านร้างกระท่อมปลายนา
มีการประปาส่วนรวมคือคันโยกๆ สูบน้ำบาดาลมาจากใต้ดิน ก่อนขึ้นเขา เราจะแวะไป 2 ที่ก่อน
คือหลวงพ่อองค์ดำ ซี่งมีเรื่องเล่าว่าท่านรักษาโรคได้ ท่านเป็นพระพุทธรูปที่มีน้ำมันซึมออกมา
ใครอยากได้น้ำมันไปรักษาโรค ก็ใช้ น้ำมันมะกอกที่ชาวบ้านขายแถวนั้น เอาน้ำมันมารดแล้วรองน้ำมันที่ไหลผ่านองค์พระอีกที เก็บกลับบ้านมาบูชา มาทามาแต้มบริเวณที่เราเจ็บป่วย ซี่งเราเองก็ได้ทำพิธี กรรมเช่นนั้น เพราะตอนไปนี้มีนัดผ่าต่อมน้ำเหลืองอยู่ ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นไง
บางอย่างมองไม่เห็นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง
จะเล่าถึงความอเมซิ่งของเด็กๆแถวนั้น การเข้าไปไหว้องค์ดำ ต้องนั่งสามล้อเข้าไป จะมีเด็กๆขอทานมาวิ่งตามรถ ภาพที่เห็นคือ เด็กประมาณขวบ 2 ขวบคือตัวเล็กมากใช้มือเดียวเกาะกับใต้คานสามล้อ ห้อยไปห้อยมา เหมือนลูกลิงเกาะกิ่งไม้ คือถ้ามือหลุดนี่ ไม่อยากจะนึกภาพ สามล้อก็ไม่ได้วิ่งแบบกินลมชมวิว ความเร็วที่ขับทำให้อาการหนักเลยทีเดียว การใช้ชีวิตเพื่อการอยู่รอดนี้มันสนุกขนาดนี้เลยหรอ
มัวแต่อึ้งอยู่ถ่ายรูปไม่ทัน
ที่ทำลูกศรชีคือคานที่วานรน้อย แม่มา แม่มา ห้อยโหนคิดดูเธอตัวเล็กขนาดไหน
เสร็จจากองค์ดำเราก็ไปต่อ มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกของโลก จะคล้ายๆกับเวลาเราไปดูซากอยุธยา คือเห็นถึงความเจริญ รุ่งเรืองของสิ่งปลูกสร้าง พระอาจารย์นำเราสวดมนต์และนั่งสมาธิในบริเวณมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ต่อด้วยไปวัดเวฬุวัน วัดแห่งแรก สร้างโดยพระเจ้าพิมพิสาร
พระอาจารย์บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่
จบโปรแกรมวันที่2 โดยการเดินขึ้นเขาคิชกูฏ ในทริปเราก็มีคนสูงอายุแต่ใจวัยรุ่นอยู่ 5-6 คน
เดินๆพักๆ ตามกำลังปอด
ใครเดินไม่ไหวก็มีลูกหาบพาแบกไป นั่งแบบราชา ราชินีสวยๆ ขึ้นไป
บรรยากาศบนยอดเขามีกลุ่มคน จากจีนและพม่า ที่กำลังสวดมนต์อยู่ ก็สลับกันนั่งสวดมนต์
เพราะสถานที่บนเขาไม่กว้างเท่าไร ขึ้นไป 2 กลุ่มก็แน่นแล้ว
ฟ้ากำลังลดแสงเพราะเป็นช่วงเย็นย่ำ เดินลงกันแบบสบายๆ ตลอดทางก็จะมีคนขายของฮาร์ดเซล
เดินประกบ แทบจะสิงร่าง ใครใจไม่แข็ง ก็แพ้ไป นี่ก็โดนโปรการ์ดมา 5 เล่ม เกร๋ๆ
วิธีการพักเหนื่อย คือยืนถ่ายรูปเท่ๆหายใจหอบๆ
อ่อ ตามทางก็มีขอทานมารยาทดี นั่งสงบเสงี่ยม ไม่ยื้อแย่ง ไม่วิ่งตาม เหมือนได้ผ่านการอบรมมาแล้ว
(เฉพาะสถาบันคิชกูฏ) ต่างจากขอทานที่อื่น ซึ่งถ้าจะให้ ต้องดูทางหนีทีไล่ไว้ก่อน หนีขึ้นรถเลย ไม่งั้นเราจะกลายเป็นศพที่โดนแร้งรุมทึ้ง ภาพเป็นอย่างนี้เลยจริงๆ ไม่ได้ใส่ไข่
ของที่เราเอาไปทำทานก็จะเป็นพวกขนม ยาหม่องตราลิง(กาอื่นไม่เป็นที่นิยมเพราะลิงเป็นเทพเจ้า) ปากกา จริงๆขนมเหมาะที่สุดสำหรับขอทานนะ เพราะเขาได้กิน ชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหาร แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีขอทานคนไหนผอมจนสะดุด หรืออาจจะเป็นเพราะมีคนทำทานตลอดปี
พระอาจารย์เล่าว่า เศรษฐีบางคนก็มาขอทาน จริงๆรวย แต่การยื่นมือรับ มันเป็นนิสัยของเขา
ลงเขามาเจอไกด์แนะนำให้ซื้อน้ำมะนาวกิน เป็นเหมือนน้ำอัดลมรสมะนาว อร่อยดี แต่ไม่ได้รูปไว้ แห๊ะ เรียกความชดชื่นได้ ได้เวลานั่งรถกลับโรงแรม พูดถึงโรงแรม สิ่งที่ต้องเมาท์คือ ชักโครก มันจะสูงไปไหน เป็นทุกที่ จะโรงแรมหรือสนามบิน คือคนขาสั้นๆนี่ ต้องนั่งจิกปลายเท้าเอาไว้ ไม่งั้นมีลอยเคว้ง
พี่ที่นอนด้วยกันเขาสูงปกติเขายังรุ้สึก ไอ้เรา150 นี่ คิดเลย ว่าบ้านเมืองเมิงไม่มีคนตัวเตี้ยเลยหรอว่ะ
ทำซะสูงโด่ง กลัวน้ำจะท่วมถึงเหรอ เคืองนิดนึงที่เห็นชักโครกอินเดีย
จบวันที่2ด้วยอาหารโรงแรม โรตีและทับทิม
5 ธันวาคม 2560 (วันที่3) วันนี้เป็นวันพิเศษหน่อย เพราะเราจะไปนอนวัดกัน ไกด์ได้บอกให้เราเตรียมกระเป๋าใส่ชุดไว้สำหรับ 3วันนะจ้ะเด็กๆ และเป็นวันที่นั่งรถยาววววมากถึงมากที่สุด
ไปลงรถเอานู้นสองทุ่ม ตอนที่ยังไม่ได้มา ก็นึกภาพว่าเดี๋ยวเราจะมีเวลาเยอะนั่งรถนาน เอาหนังสือไปอ่านดีกว่า เตรียมไป 2-3 เล่ม ไม่ได้อ่านเลยซ๊ากกะเล่ม ขนไปและขนกลับหนักกว่าเดิม
หน้างานจริงคือเรานอนค่ะ หมอนรองคอนี้ช่วยชีวิตได้เยอะ สำคัญที่ควรเอาไปอย่างยิ่งคือผ้าห่มผืนเล็ก
ที่ห่มบนรถได้ เพราะรถบัสอินเดียแอร์ปรับไม่ได้และปิดไม่ได้ด้วย ไม่ว่าเราจะทำการ ร้องขออย่างไร แอร์ยังคงทำงานของมันไป 555 นี่คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสไปอีกจะพกเทปใสใหญ่ๆไป แกไม่ปิดให้ฉัน ฉันปิดเอง ตอนแรกคิดว่าเราคิดคนเดียว ความคิดความรู้สึกนึ้พี่ร่วมทริปก็คิด เพิ่งจะมาอุ่นเอาวันใกล้จะกลับ
เพราะไอ้เราก็คิดว่าเดี๋ยวกลางคืนหนาวเก็บผ้าห่มใส่กระเป๋าใหญ่ไว้พกไปทุกโรงแรม กลายเป็นที่ๆทรมานคือบนบัสของเรานี่แหล่ะ เย็นกว่าอากาศข้างนอกอี๊ก
วันนี้นั่งยาวๆ มองวิวมองฟ้ากันไป ตามถนนที่เป็นชุมชนก็จะมีร้านค้าหน้าตาเหมือนกล่องยกสูง ขนาดเท่าคนขึ้นไปนั่งขัดสมาธิ เข่าก็ชนกับผนัง เป็นร้านค้าที่มีความไพรเวท จะมีญาติมาช่วยขายไม่ได้นะ เต็ม ใน มีขนม ชา ลูกอม จิปาถะ
เปิดทำการ
ปิดทำการ
ที่สะดุดตาคือ ช่วงเช้า เห็นคนออกมายืนแปรงฟันกันตามถนน ใช้ไม้แท่งเล็กๆ ถูๆ ฟัน
ชื่อไม้อินทนิล แท่งละ1รูปี ถ้าจะถูให้หมดแท่งใช้เวลากันเป็นวัน
บ้านเมืองเขาก็เหมือนจะสร้างไม่เสร็จ ได้คำอธิบายว่า ถ้าเขาสร้างเสร็จเขาต้องเสียภาษี เขาเลยปล่อยให้มันไม่เสร็จเป็นอิฐแดงเปลือยๆ ไม่ทาสี ก่อแบบไม่ปิดจ๊อบ คาๆไว้
กว่าจะได้ที่เหมาะๆ เดินจนเกือบจะเป็นคนพื้นที่
ช่วงกลางวันกินอาหารกันบนรถ ซึ่งต้องหาที่จอด เพราะถ้าขับไปกินไป คงเปรอะเปื้อนมิใช่น้อย
เหตุเพราะถนนเป็นหลุมเป็นบ่อตลอดทาง นอนๆอยู่กระเด้งตัวขึ้นเหมือนเทพลงประทับ
ได้ที่จอดรถตรงปั๊มพอดี ห้องน้ำปั๊มเป็นเรื่องที่ท้าท้ายความกล้า กล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้า เผชิญกลิ่นที่เหม็นขนาดน้ำตาไหล แต่การเข้าห้องน้ำปั๊มของกลุ่มเราเป็นเรื่องสนุกสนาน แซวกันขำกันจนฉี่กระปริบกระปอย จากคนไม่คุ้นเคย นั่งรถกระแทกกันไปมาก็มาเริ่มสนิทสนมกันตอนฉี่นี่แหล่ะ
สวรรค์ของเราคือวัดไทยตามทาง แวะเข้าห้องน้ำ แวะทำบุญ ขึ้นสวรรค์ทันตาเห็น อ่อขอบอก ชักโครกวัด ไทยในอินเดียยังคงสูงเหมือนเดิม 555
ค่ำมืดแล้วเราก็ถึงวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ กลุ่มเราโชคดีมาก ได้พักเป็นห้องส่วนตัว
เหมือนโรงแรมทุกประการ นอนห้องละ 2 คน
พอถึงวัด เราก็ได้ทานอาหารที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ โอ๊ะ..สวรรค์ทรงโปรดอีกแล้ว
อาหารไทยรสชาดดี มีแต่เมนูโปรด แกงส้ม ไข่เจียว ต้มข่า แกงจืดวุ้นเส้น เดินวนตักแล้วตักอีก
กินเสร็จแล้ว เราก็ไปทอดผ้าป่าและปฏิบัติเดินจงกรมรอบเจดีย์
แล้วก็แวะซื้อของที่ระลึก ทางวัดมีใบโพธิ์ หนังสือ โปสการ์ด
จบวันนี้เข้านอนตามอัตยาศรัย
6 ธันวาคม 2560 (วันที่4) ตื่นเช้าแบบไม่มากเท่าไร ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ วัดไทยกุสินาราสวย
มีมุมให้ถ่ายหลายที่ กินข้าววัดแล้วก็เดินทางกันต่อมุ่งหน้าสู่ สาลวโนทยาน ที่ปรินิพพาน
และไม่ไกลจากนั้นก็เป็นที่ ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า
สถานที่ถวายพระเพลิง
ห่มผ้าเพื่อเป็นการถวายสักการะ ปรางค์ปรินิพาน
สถานที่ปรินิพพาน
ระหว่างนั่งอยู่สนามหญ้าข้าง มกุฏพันธนเจดีย์ ก็เกิดความคิดว่า คำว่าผุ้รู้ ผู้ตื่น ที่เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก บัดนี้ เรารู้แล้วว่า ที่รู้หน่ะ รู้อะไร รู้ว่าการกระทำของเราทุกอย่างดีหรือเลว
มันจะส่งผลกับเราไม่ช้าก็เร็ว ตื่นคือตระหนักว่าจะทำอะไรหรือไม่กล้าทำอะไร
ที่ผ่านมารู้ว่าไม่ดีแต่บางครั้ง ก็ทำเพราะไม่ได้ตระหนักว่ามันส่งผลจริงหรือไม่ หรือไม่ได้เกรงกลัวนั่นเอง ถ้าเราท่านทั้งหลายรู้และตื่น เราจะปิดประตูนรกได้ มา4วันเริ่มดวงตาเห็นธรรม
อ่ะเดินทางกันต่อจ้า ไปเนปาลกัน แวะวัดไทย960 กันก่อน แวะกินโรตี
โรตีวัด
960 ซึ่ง 9 มาจากสร้างในรัชกาลที่ 9 ครองราชครบ 60ปี
ออกจากวัดนิดเดียว ก็เป็นชายแดนเนปาล นั่งรอในบัสเพื่อตรวจหนังสือเดินทางเข้าประเทศเนปาลได้
ใช้เวลาประมาณชม.นิดๆ ถึงวัดไทยลุมพินี ก็ทอดผ้าป่า และไปนอนโรงแรมไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่ อากาศเย็นจนไม่ใช้บริการฝักบัวอีกครา ราตรีสวัสด์เนปาล
7 ธันวาคม 2560 (วันที่5) เช้านี้เราไปสวนลุมพินีวัน สถานที่ประสูติมหาบุรุษโลก
เป็นเหมือนสวน มีทางเดินยาวเข้าไปภายใน มีเสาที่พระเจ้าอโศกมาสร้างไว้เพื่อประกาศให้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้ คือที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร
ที่เนปาลนี้ สถานที่จะดูสะอาดได้รับการดูแลดีกว่าทุกที
ทำพิธีห่มผ้าเสาอโศกแล้ว ก็กลับเข้าวัดไทยลุมพินีอีกครั้ง เพื่อทานอาหาร
และออกเดินทางสู่วัดไทยเชตวันมหาวิหาร
วัดไทยลุมพินี
ไปถึงวัดไทยเชตวันฯ ก็หัวค่ำแล้ว
ทอดผ้า ทำบุญเสร็จเราก็กินข้าวเย็นกันที่วัด มาที่นี่มีโอกาส ได้ทำบุญหลายอย่าง ซื้อที่ดินวัด ซื้อวัสดุก่อสร้างวัด ตายไปก็จะได้มีวิมานอยู่
เรานอนกันที่วัดเป็นห้องพักนอนได้ 6 คน ห้องอาบน้ำ และห้องสุขาแยกกัน แต่อยู่ในห้องพัก ไม่ต้องออกเดินไปอาบด้านนอก คืนนี้อบอุ่นเพราะเป็นการนอนรวมหมู่กัน กว่าจะนอนก็เมาท์นู้นนี้ตามประสา
เพื่อความหลับสบายคลายอุรา
8 ธันวาคม 2560 (วันที่6) เช้านี้ตื่นตี4 กินข้าววัด เป็นข้าวต้มเครื่อง ระหว่างกินข้าว พี่ๆร่วมทริปที่นอนกันคนละห้องก็เล่าประสบการณ์เมื่อคืนให้ฟัง ว่าเตียงที่พี่เขานอนแกว่งเป็นเปลเลย แผ่เมตตาก็แล้ว สวดก็แล้วยังไม่หยุดแกว่ง พี่เขาลุกจากเตียง ขยับเตียงไปติดเตียงข้าง ๆ ทุกอย่างถึงได้สงบลง สงสัย
ว่า 2 เตียงน้ำหนักจะเยอะไป ผึอินเดียแกว่งไม่ไหว
พอจบเรื่องเตียงแกว่ง ก็ตามมาด้วย พี่อีกคนเห็นเงาที่เพดาน
สรุป8 วันที่เราไปกัน มีเรื่องผีที่วัดและโรงแรม ยังมีตามทางเดินตอนไปลุมพินีอีก พี่เขาได้ยินเสียงเรียก เป็นเสียงผู้ชายเรียกเป็นภาษาไทยด้วย บริเวณนั้นไม่มีใครนอกจากคณะเรา 3-4 คน ได้ยิน กันถ้วนทั่ว
แต่ไม่มีใครเรียก ส่วนตัวเองไม่เจออะไร ขอบคุณ คือไม่ได้อยากเจอ
วันนี้เราจะไปบ้านอนาถบิณทิกเศรษฐี และวัดเชตวันวิหาร (เป็นวัดที่พระพุทธเจ้าจำพรรษานานที่สุด) กลางวันก็กลับมาที่วัดเพื่อกินอาหารเที่ยง ที่วันไทยเชตวันมหาวิหาร
หลังจากนั้นก็จะไปเมืองพาราณสี ระหว่างทางแวะสวรรค์คือห้องน้ำวัดไทย แม่ชีที่นี่ใจดี ต้มมาม่ามาเลี้ยงเราหม้อเบ้อเร้อ สุขาสะอาด มาม่าอร่อย
เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้าน
หัวค่ำเราก็ถึงเมืองพาราณสี เมืองนี้ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ณ กรุงพาราณสี เมืองนี้เมืองใหญ่ มีรถราสวนกันแบบไม่มีระเบียบเต็มไปหมด ตลาดกลางคืนดูตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นกับเมืองในตำนานอยุ่สักแพร็บ เราก็ถึงโรงแรมCity Inn กินอาหารค่ำ เข้าห้องเพื่อลุยพาราณสีกันพรุ่งนี้
9ธันวาคม2560 (วันที่7) เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อนั่งรถไปล่องเรือรับอรุณแม่น้ำคงคา
ร้านรวงที่นี่เขาเปิดกันสาย เหตุเพราะคนวรรณะสูง รอให้คนวรรณะต่ำ ออกไปทำงานก่อน
ถ้าออกไปพร้อมๆ กันโดนเหยียบเงา จะเป็นอัปมงคล แล้วที่อินเดียนี้จะเห็นแต่ผุ้ชายอยุ่ตามถนน
ทำงานค้าขายอะไรก็ว่ากันไป ผู้หญิงออกมาทำงานเห็นน้อยมาก ผู้ชายครองเมืองไปหมด
วิวตลาด คือ วัวและพ่อค้า เท่านั้น
ถ้าเห็นหญิง มาทำงานให้รู้ว่านั้นคือหญิงหม้าย ไม่มีสามีทำงานเลี้ยง ถ้าแต่งงานอยู่กันปกติดีผู้ชายต้องเป็นคนทำงานหาเงินเลี้ยง ผุ้หญิงดูแลลูกและบ้านอย่างเดียว
มาล่องแม่น้ำ รถบัสจอดส่งเราแค่ถนนใหญ่ เราเดินต่อกันไปตามซอย เดินไปก็ต้องระวังอุนจิบนถนนกันไป แยกแทบไม่ออกว่าขี้คนหรือขี้วัว ถึงท่าน้ำก็เห็นเรือจอดรอนักท่องเที่ยวเต็มตลอดฝั่ง
จ่ายค่าพร็อพกันอยู่
กลุ่มเราก็เดินขึ้นเรื่อที่ไกด์เตรียมไว้ ทำพิธีเหมือนลอยกระทงบ้านเรา ช่วงเรือแล่นไปก็สังเกตุ
ทำไมคนขับไม่ทำอะไรเลย ยืนเท่ๆ อยู่ท้ายเรือ
พี่แก ยืนท่านี้ตลอด กัปตันเรา
เหล่าโรฮิงญา
ไม่มีพวงมาลัยให้เลี้ยวซ้ายขวา มันวิ่งได้เองเหรอนี่
สักพักก็เห็นเขาเริ่มไปโยก ปุ่มที่มันโผล่ขึ้นมานิดเดียว อ่อ นึกว่าขับได้เองอัตโนมัติ
เราไม่ได้ล่องอยู่ตามลำพัง มีเรือขายของมาเกาะเป็นเหาฉลาม ขนาบข้างซ้ายขวา
แนะนำให้ถามราคาไว้ก่อน แล้วค่อยซื้อ ค่อยต่อ ตอนเรือจะกลับ เพราะราคาลดกระหน่ำ
winter sale
แล้วเรือก็ล่อง ไปดูที่เขาเผาศพกัน ไฟไม่เคยดับ ครบกระบวนความก็กลับเข้าฝั่ง
ร้านรวงค่อยเปิดเพิ่มขึ้น ขากลับนี้เราต้องนั่งสามล้อกลับกัน
เป็นที่สนุกสนานของเด็กกรุงเทพอย่างเรามาก
ช่วงบ่ายก็ไป สถานที่พระพุทธองค์แสดงปฐมเทศนา เกิดพระรัตนตรัยเป็นครั้งแรก เสร็จแล้วก็กลับพุทธคยา เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับวันพรุ่งนี้
คืนนี้เป็นคืนช้อปปิ้งในพุทธคยา เสื้อผ้า กระเป๋าราคาถูก คิดเรตเงินก็ง่ายๆ หาร 2 คือเงินไทย
ถ้ากระเป๋า 150 รูปี เงินไทยก็ 75 บาท สาวๆ หลายคน เดินเข้าเดินออก
กลับโรงแรมมายังออกไปช๊อปต่อโอกาสสุดท้าย งานซื้อต้องมา
มีฟามสุขหน้าร้านขายของ
ของที่ซื้อกลับส่วนใหญ่เป็นผ้า ผลิตภัณท์หิมาลายา ตัวเองได้น้ำมะม่วงกล่องมา
อยู่เมืองไทยไม่เคยคิดจะกินเลยมะม่วงปั่น แต่ยี่ห้อนี้อร่อยแนะนำนะ
10 ธันวาคม2560 (วันที่8) เช้านี้ชาวเราร่าเริงกับการซื้อของหน้ารถบัส
วันแรกเคยซื้อ500 วันนี้เหลือ200 แขกมันคงรู้เราจะgohomeแล้ว จัดปาร์ตี้ลดราคาให้
แต่ถ้าไม่นับของก่อนจ่ายเงิน ของไม่ครบนี้ อย่าหวังว่าแขกจะเพิ่มผ้าให้
เราถึงสนามบินกันก่อนเครื่องออก 4 ชม ไกด์บอกว่าเคยมี คิดว่าใกล้ เลยออกไม่ได้เผื่อเวลา
แล้วดันเกิดปิดถนนขึ้นมา จากนั้นมา เผื่อจนลูกทัวร์นั่งรอจนเก้าอี้สึก
และวันนี้ก็เกิดแจ็ตพ็อตแตก สายการบินดีเลย์ออกไปอีกเกือบ ชม.
ขากลับนี้อาหารบนเครื่องกินไม่ได้เลย เป็นอะไรไม่รู้จำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่ากินไปสองสามคำ ก็ปิดกล่อง รอทิ้งเลย งีบเดียวก็ถึง bangkok แล้ว
มิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางงดงามมาก ทุกคนน่ารัก
อ่อ ลืมเล่าไปว่า ตอนเช้าได้มีโอกาสกลับไปสักกาเจดียพุทธยคาอีกรอบ คิดในใจว่าอยากกลับมาอีก หลายๆ คนก็รู้สึกเช่นนั้น ให้ลำบากนั่งรถใส้กระเทือน เราก็อยากกลับมาอีก
ทั้งๆ ที่อินเดียก็ไม่ใช่เมืองที่สบายเหมือนเมืองโตเกียว 555 เทียบกันได้
อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้ามีรอบที่2 เราจะได้อะไรเพิ่ม
ต้องขอบคุณครูสมาธิที่เรียนมา ขอบคุณพี่ที่แนะนำให้ได้มาเรียน เพราะสมาธิที่เกิดขึ้นเป็นจุดกำเนิดให้ได้มีแสงแห่งพระพุทธ ศาสนาเบ่งบานภายในใจ...
ส่งท้ายด้วยรูปนี้.....แทนอินเดียในความรู้สึก